13 คดี“ยิ่งลักษณ์”ในมือป.ป.ช.

         ความพยายามของทีมทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำโดย นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ดูจะเริ่มเห็นผล หลังจากยื่นหนังสือคัดค้านน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.ที่รับบทบาทประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงซึ่งรับผิดชอบสำนวนที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมกันถึง 6 คดี ล่าสุดข่าวดีสำหรับฝั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เกิดขึ้น เนื่องจาก น.ส.สุภายอมถอนตัวจากประธานอนุกรรมการไต่สวนไปแล้ว 1 คดี

         แต่นั่นก็อาจทำให้ใจชื้นได้เพียงเวลาสั้นๆ เพราะถ้าอ้างอิงตามที่ทีมทนายของอดีตนายกฯ ระบุว่า มีคดีความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในมือป.ป.ช.รวมทั้งหมด 15 คดี แต่ในความเป็นจริงถูก ป.ป.ช.ตีตกไปแล้ว 2 คดี คือ 1.กรณีถูกกล่าวหาแทรกแซงโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล และ 2.กรณีถูกกล่าวหาว่าจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีอาญาทางการเมืองโดยไม่มีอำนาจ ดังนั้นปัจจุบันจึงมีเพียง 13 คดี ได้แก่

          1.กรณีถูกกล่าวหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการออกหนังสือเดินทางแบบธรรมดาให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยมิชอบ ซึ่งคดีนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหาร่วมกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ โดยมี น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

         2.กรณีถูกกล่าวหาว่าจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองโดยไม่มีอำนาจ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องของตนเอง กรณีนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกแจ้งข้อกล่าวหาพร้อม ครม.รวม 34 ราย ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตทำให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของประเทศที่ต้องจ่ายเงินเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองเป็นจำนวน 1,921 ล้านบาท ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินขึ้นใหม่โดยไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีขั้นตอนพิสูจน์ความเสียหายหรือความสูญเสียทางจิตใจเป็นการใช้งบเพื่อเยียวยาสูงกว่ากรณีอื่นๆ ที่ผ่านมา คดีนี้ น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

          3.กรณีร่วมกันเห็นชอบในการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เป็นการขัดต่อพระราชกำหนดกระทรวงการคลัง 

          4.กรณีใช้ให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ให้ตัวเองและรัฐมนตรี

          5.กรณีถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องความคิดเห็นทางการเมือง

          6.กรณีถูกกล่าวหาว่าดำเนินการออกประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.

          7.กรณีโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหาว่าใช้สถานะหรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการบรรจุแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่นหรือพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยคดีนี้มี น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

          8.กรณี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ปราศรัยทำนองยุยงปลุกปั่นข่มขู่และให้ใช้ความรุนแรง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหาว่าไม่ดำเนินการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐและไม่แจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย คดีนี้ น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

         9.กรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกันมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

       10.กรณีไม่ระงับยับยั้งการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงโดยมิชอบ

          11.กรณีที่หน่วยงานรัฐหลายแห่งเพิกเฉยไม่ดำเนินการตามมติ ครม.ที่ให้เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบ แต่กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง คดีนี้เดิม น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน แต่ขอถอนตัวไป

          12.กรณีมีหน้าที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในการเก็บกักควบคุมระบายหรือบริหารจัดการน้ำ เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยในปี 2554 คดีนี้ น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

          13.กรณีดำเนินโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ แต่การกู้เงินและลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคาร 4 แห่งกระทำมิชอบ

          นี่..ยังไม่นับรวมกรณี ป.ป.ช.สอบบัญชีทรัพย์สินเชิงลึก 5 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโครงการรับจำนำข้าว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

          ส่วนคดีที่มี น.ส.สุภา ที่เป็นของแสลงสำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนก็จะเหลืออยู่ 5 คดี จึงต้องจับตากันต่อไปว่า น.ส.สุภา จะยอมอ่อนข้อถอนตัวตามคำคัดค้านของทีมทนายของอดีตนายกฯ หรือไม่ หรืออาจต้องรอการพิจารณาของที่ประชุม ป.ป.ช.ว่าคำคัดค้านมีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน

          สำหรับประเด็นที่อ้างว่า น.ส.สุภาถือเป็นคู่ขัดแย้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยตรงนั้น ตามรายละเอียดในเอกสารที่ทีมทนายยื่นให้ประธาน ป.ป.ช.เพื่อคัดค้าน มีการแนบรายละเอียดคำให้การของ น.ส.สุภา ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะพยานโจทก์คดีรับจำนำข้าว 

          นอกจากนั้นทีมทนายยังอ้างว่า น.ส.สุภามีอคติมีสาเหตุโกรธเคืองกับน.ส.ยิ่งลักษณ์หรือปฏิบัติต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในทางเป็นปฏิปักษ์ จึงต้องคัดค้านการเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเมื่อครั้ง น.ส.สุภาดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลังในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งขุนพลหญิงที่ร่วมตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว โดยเป็นประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวช่วงปีการผลิต 54-55 ซึ่งประเมินตัวเลขขาดทุนไว้ราว 2 แสนล้านบาท หลังจากนั้น น.ส.สุภาก็ถูกเด้งไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนอื่นแทน ทางทีมทนายจึงเชื่อว่าคงมีความคับแค้นใจมาตั้งแต่ตอนนั้น

 

         ทว่า เมื่อดูจากแนวโน้มเป็นไปได้ยากที่ น.ส.สุภาจะขอถอนตัวจากการรับผิดชอบคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่มอีก เนื่องจาก ป.ป.ช.มีการแบ่งงานกันชัดเจน โดยน.ส.สุภาดูแลสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง ซึ่งดูคดีที่เกี่ยวกับผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงทางการเมืองอยู่แล้ว จึงถือเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบเลี่ยงไม่ได้

          อีกทั้งเมื่อดูจากรายชื่อกรรมการ ป.ป.ช.ที่เหลือ คงไม่มีใครอยากลงมารับ “เผือกร้อน” แทน น.ส.สุภาเป็นแน่ เพราะเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกโจมตีต่างๆ นานาแน่

          เว้นเสียแต่ที่ประชุม ป.ป.ช.จะมีมติเปลี่ยนแปลงให้กรรมการ ป.ป.ช.รายอื่นมารับคดีแทน ซึ่งก็ยากจะเป็นไปได้อีกเช่นกันที่จะโอนคดีทั้งหมดในมือ น.ส.สุภาไปให้กรรมการคนอื่น เพราะแต่ละคนก็มีคดีให้รับผิดชอบจำนวนมากอยู่แล้ว ซึ่งถ้ารูปการณ์เป็นไปตามนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ น.ส.สุภา ยังไงๆ ก็โคจรหนีกันไม่พ้นอยู่ดี

                                                        ณัฐภัทร พรหมแก้ว

                                                          สำนักข่าวเนชั่น