คอลัมนิสต์

“บริวารเป็นพิษ” ภัยใกล้ตัว “บิ๊กตู่”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ชั่วโมงนี้ไม่มีเรื่องไหนฮอตฮิตไปกว่าครอบครัว “จันทร์โอชา” ที่ทั้ง “น้องชาย-น้องสะใภ้-หลานชาย” ของ “บิ๊กตู่” พาเหรดกันโดนสังคมโจมตีความไม่โปร่งใส


               องคาพยพที่ค้ำยันอำนาจของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังถูกตรวจสอบการทำงานอย่างหนัก หลังเข้ามาบริหารประเทศ 2 ปีกว่า นโยบายและโครงการต่างๆ ของรัฐบาลเริ่มเข้าสู่โหมดจัดจ้าง-จัดประมูล

               ลำพัง “บิ๊กตู่” มีเครดิตที่สั่งสมมามากพอจะทำให้ “ประชาชน” เชื่อถือได้ว่า ไม่คดโกง-ไม่ทุจริต แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “บริวาร” ที่อยู่รอบตัว “บิ๊กตู่” เอง ที่ชอบทำตัวเป็นพิษ แถมยังเป็นผู้บริหารระดับ “วีไอพี” ที่ไม่สามารถปฏิเสธความสัมพันธ์เชิงซ้อน “พี่เลิฟ-น้องรัก” ไปได้

               ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่สร้างปัญหาและเริ่มสร้างปัญหาให้เครดิตของ “บิ๊กตู่” ลดน้อยถอยลง

               ไล่ตั้งแต่ “บิ๊กป้อม” ที่ชื่อก็อยู่ในแบล็กลิสต์ของขั้วตรงข้ามที่จ้องจะขุดเรื่องเก่า-เรื่องใหม่ มาคอยโจมตีอยู่แล้ว ซึ่ง “บิ๊กป้อม” ก็เปิดช่องแผลให้โจมตีได้เหมือนเคย หลังจัดตั้งรัฐบาลมาได้สักระยะ “บิ๊กป้อม” ก็ชงชื่อ “น้องตั๊น” น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร แกนนำ กปปส. ขึ้นเป็นทีมโฆษกรัฐบาล

               แต่โดน “บิ๊กตู่” เบรกเอาไว้ แม้ “บิ๊กป้อม” จะส่งชื่อของ “น้องตั๊น” ให้เองกับมือ แต่ก็โดนทักท้วง คิดคำนวณระยะยาวแล้วได้ไม่คุ้มเสีย หากต้องปล่อยให้แกนนำล่มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามานั่งในวงประชุม ครม.รัฐบาลบิ๊กตู่

               ซึ่งถือว่าโชคดี ที่ “น้องตู่” ไม่ทำตามที่ “พี่ป้อม” ชงข้อเสนอเข้ามาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ทำให้ “ขั้วตรงข้าม” โจมตี “บิ๊กป้อม” เพียงคนเดียว ไม่ได้กระเทือนมาถึงผู้นำประเทศ ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์คงเสียหายกันทั้งขบวน ติดภาพรัฐบาล กปปส.เป็นยี่ห้อติดตัว

               นอกจากนี้ “บิ๊กป้อม” ยังมีจุดด่างพร้อยตรงที่มักจะถูกนำชื่อไปแอบอ้างรับผลประโยชน์ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการรับจ้างพัฒนาหรือก่อสร้างปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ที่คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง มอบหมายให้ดำเนินการ “บิ๊กป้อม” ถูกจับมาเชื่อมโยงกับโครงการดังกล่าว เพราะหมวกอีกใบหนึ่งดำรงตำแหน่งนายกสภาทหารผ่านศึก

               โครงการดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตว่า “อผศ.” รับงานมาทำทั้งที่ไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ และทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคณะกรรมการสิทธิพิเศษว่าจะไม่มีการจ้างช่วงต่อ แต่สุดท้าย “อผศ.” กลับจ้างช่วงต่อให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ต้องเข้ามาดำเนินการ ทั้งที่ความจริงแล้วโครงการนี้เป็นหน้าที่ของ ปภ.ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ก่อนแล้ว

               การที่คณะกรรมการสิทธิพิเศษอนุมัติให้ “อผศ.” เข้ามาดำเนินการได้ทั้งประเทศ จึงถูกโจมตีว่าเป็นการทำงานซ้ำซ้อน สูญเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น แม้ “บิ๊กป้อม” จะตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบ ซึ่งไม่พบการกระทำผิดของนายทหารระดับสูง แต่โดน “อดีต ส.ส.เพื่อไทย” ฉวยโอกาสลงพื้นที่ขุดลอกคลองนำมาแฉกันโจ่งครึ่ม

               ต่อด้วย “บิ๊กป๊อก” ที่พักหลังโดนแซวหนัก ถึงขั้นว่าเห็นเงียบๆ แต่ฟาดเรียบ โดยเฉพาะการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดจีที 200 ที่กลับมาเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอีกครั้ง ภายหลังศาลโอลด์ เบลีย์ ของอังกฤษ สั่งให้นายเจมส์ แมคคอร์มิค อดีตนักธุรกิจชาวอังกฤษ จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้เสียหาย

               ทว่า ประเทศไทย หนึ่งในผู้เสียหาย ยังไม่ได้รับเงินชดเชย เพราะรัฐบาลไทยและกระทรวงกลาโหมไม่ได้ทำเรื่องเรียกร้องค่าเสียหาย เพิ่งมาไก่ตื่นก็หลังศาลโอลด์ เบลีย์ มีคำตัดสินออกมา “บิ๊กป๊อก” ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการจัดซื้อเกิดขึ้นขณะที่ “บิ๊กป๊อก” ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. จำนวน 12 สัญญา วงเงิน 683 ล้านบาท

               ล่าสุด ได้มอบหมายให้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ศึกษาความเสียหายและช่องทางการฟ้องร้อง แต่เรื่องก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ เพราะหากฟ้องร้องจริงข้อเท็จจริงที่ต้องถูกนำมาเป็นหลักฐานอาจจะกลายเป็นผลลบต่อรัฐบาล เพราะ “ค่าส่วนต่าง” จะถูกแฉทันที

               ก่อนหน้านี้ “บิ๊กป๊อก” ยังถูกตรวจสอบพบว่าบริษัทที่ได้รับเหมาจัดงานโครงการลูกทุ่งแสนสุขจังหวัดนนทบุรี หรือโครงการคืนความสุขประชาชนบริเวณท่าน้ำนนท์ วงเงิน 10 ล้านบาท เป็นเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในบริษัท พฤกษาพรรณ พัฒนา จำกัด ซึ่งมีชื่อ “บิ๊กป๊อก” เป็นกรรมการ ก่อนจะลาออกมารับตำแหน่งรัฐมนตรี

               ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2557 แม้จะผ่านมานานพอสมควร แต่ล่าสุดมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เพื่อโจมตี “พี่ชายคนรอง” ของ “บิ๊กตู่”

               ต่อด้วย “บิ๊กโด่ง” ขณะดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. ได้ริเริ่มก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ขึ้นมา แต่กลับโดนตรวจสอบอย่างหนัก ภายหลังหลุดปากพูดเองว่า มีการหักหัวคิวในการจัดสร้างพระบรมรูปหล่อบูรพกษัตริย์ทั้ง 7 พระองค์ แม้หน่วยงานตรวจสอบจะออกมาแก้ลำให้ว่า เป็นเพียงการจ่ายค่าปรึกษา

               “บิ๊กโด่ง” โดนโจมตีอย่างหนัก พร้อมกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งรมช.กลาโหม แต่ “บิ๊กตู่” ไม่ยอมปรับออก เพราะจะถือว่าเป็นการยอมรับผิด แถมตำแหน่ง รมช.กลาโหม จำเป็นต้องเป็นเกราะป้องกัน “บิ๊กโด่ง” ให้อยู่รอดปลอดภัยได้

               ยิ่งล่าสุด “ป.ป.ช.” มีมติแบบลับ “สื่อ” ไม่ถามไม่แถลง เรื่องที่มีการฟ้องร้องให้ตรวจสอบการสร้างอุทยานราชภักดิ์ ให้ยกฟ้องด้วยมติ 9-0 เสียง ยิ่งทำให้ “ป.ป.ช.” ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามไปด้วย เพราะอย่าลืมว่า ชื่อของ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธาน ป.ป.ช. ถูกแสตมป์ชื่อเด็ก “บิ๊กป้อม”

               ทว่า ชั่วโมงนี้ไม่มีเรื่องไหนฮอตฮิตไปกว่าครอบครัว “จันทร์โอชา” ที่ทั้ง “น้องชาย-น้องสะใภ้-หลานชาย” ของ “บิ๊กตู่” พาเหรดกันโดนสังคมโจมตีความไม่โปร่งใส ไล่ตั้งแต่ “ผ่องพรรณ จันทร์โอชา” นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ภรรยา “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา

               โดย “ผ่องพรรณ” จัดสร้างฝายกั้นน้ำชื่อ “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จนโดนนำภาพมาแฉถึงความไม่เหมาะสมของชื่อที่ตั้ง เพราะใช้งบประมาณของทางราชการ ไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวในการก่อสร้างฝายกั้นน้ำ

               ต่อด้วย “ปฐมพล จันทร์โอชา” หลานชาย “บิ๊กตู่” ที่มีชื่อเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่ในห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น เป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐ 11 โครงการ รวมวงเงิน 155 ล้านบาท ที่สำคัญเป็นสัญญาที่ทำกับกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) จำนวน 7 โครงการ วงเงิน 97 ล้านบาท

               คำถามที่ถูกสังคมตั้งถึง “บิ๊กติ๊ก” คือ เหมาะสมหรือไม่ที่บริษัทของ “ลูกชาย” จะมารับงานของหน่วยงานรัฐที่ “พ่อ” ดูแลอยู่ แถม “บิ๊กติ๊ก” เคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 มาด้วย ที่สำคัญแต่ละโครงการที่ “ปฐมพล” ได้จากกองทัพภาคที่ 3 ราคาประมูลต่ำกว่าราคากลางหลักหมื่นบาท จึงถูกตั้งคำถามอีกว่า รู้ราคากลางมาก่อนหรือไม่

               และข้อกล่าวหายิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิมอีก เมื่อถูกตรวจสอบพบว่าสถานที่ตั้งของห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น อยู่ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อ.เมือง จ.พิษณุโลก

               หลังจากนี้ ต้อง “วัดใจ” หน่วยงานตรวจสอบการกระทำที่ส่อทุจริตของประเทศไทยในชั่วโมงนี้ว่า จะ “กล้า” พอที่จะตรวจสอบการจัดจ้างและการใช้งบประมาณของราชการที่เกี่ยวข้องกับ “น้องชาย-น้องสะใภ้-หลานชาย” ของ “บิ๊กตู่” หรือไม่

               แต่ที่แน่ๆ ฐานค้ำยันอำนาจของ “บิ๊กตู่” เริ่มสั่นคลอน คะแนนนิยมที่สูงลิบ เริ่มตั้งข้อสงสัย แม้จะไม่พุ่งตรงไปที่ “บิ๊กตู่” แต่ “บริวาร” ที่เป็น “พิษ” ย่อมทำให้ “บิ๊กตู่” สูญเสียศรัทธาไปด้วย

               และหาก “บิ๊กตู่” ยังจะนั่งเก้าอี้นายกฯ หลังการเลือกตั้ง เหล่า “บริวาร” ที่เป็น “พิษ” จะทวีเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว...

 

 

---------------------

(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : “บริวารเป็นพิษ” ภัยใกล้ตัว “บิ๊กตู่” : โดย...สำนักข่าวเนชั่น)

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ