คอลัมนิสต์

ไม่คาดคิดรถราชการใช้คาร์บอมบ์ปัตตานี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ไม่คาดคิดรถราชการใช้คาร์บอมบ์ปัตตานี  : สมชาย สามารถ สำนักข่าวเนชั่นรายงาน 

             บึ้ม!!! ระเบิดน้ำหนัก 160 กก.ที่บรรจุในถังแก๊สน้ำหนัก 80 กก. จำนวน 2 ลูกที่มีการตั้งระเบิดเวลาไว้ประมาณ 5 ทุ่มของวันที่ 23 สิงหาคม และทิ้งช่วงห่างจากเหตุระเบิดลูกแรกที่เกิดขึ้นบริเวณห้องน้ำของสถานบันเทิงที่อยู่บริเวณด้านหลังโรงแรมประมาณ 45 นาที

             สิ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวบริเวณด้านหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์นวิว ปัตตานี ปรากฏภาพผู้คนบาดเจ็บนอนร้องครวญครางขอความช่วยเหลือกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ จากจุดนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 คน คือ น.ส.อรพรรณ ศรีเรือนหัด อายุ 35 ปี และบาดเจ็บ 35 คน ในจำนวนนี้มีผู้บาดเจ็บสาหัส 4 คน

             อานุภาพของแรงระเบิดคาร์บอมบ์ ทำให้พื้นที่ด้านหน้าของโรงแรมเสียหายทั้งหมด นอกจากนี้บริเวณร้านคาราโอเกะ ร้านนวด ร้านอาหารที่อยู่อาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามก็ได้รับความเสียหายไปด้วย

เสียงสะท้อนจากเหยื่อบริสุทธิ์

             “เอกชัย โลจนาภิวัฒน์” รองกรรมการผู้จัดการโรงแรมเซาท์เทิร์นวิว ปัตตานี เดินสำรวจความเสียหายบริเวณโรงแรมด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะตกเป็นเป้าหมาย เพราะที่ผ่านมาให้ความสำคัญในการตรวจสอบพาหนะทุกคันที่จะเข้ามาจอดที่โรงแรม ยกเว้นครั้งนี้ที่มีรถยนต์ของราชการระบุชื่อหน่วยงานติดข้างรถว่าเป็นรถจากโรงพยายาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี เข้ามาจอดในช่วงเวลาที่เพิ่งเกิดระเบิดลูกแรกไม่นาน

             “ไม่มีใครคาดคิดว่ารถของราชการที่มีตราหน่วยงานติดอยู่จะเป็นรถคาร์บอมบ์ และที่สำคัญรถวิ่งมาจอดหลังเกิดเหตุลูกแรกไม่นาน ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกลับมาทบทวนมาตรการดูแลความปลอดภัยให้เข้มงวดมากกว่าเดิม”

             สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น “เอกชัย” บอกว่า โซนด้านหน้าของโรงแรมที่เป็นกระจกเสียหายทั้งหมด เช่นเดียวกับบริเวณห้องพักซึ่งมีประมาณ 87 ห้องก็ได้รับความเสียหาย กระจกแตกและร้าว โดยเฉพาะห้องพักในฝั่งที่อยู่เหนือคาร์บอมบ์ทั้งฝ้าเพดานและหน้าต่างพังทั้งแถบ

             “ระเบิดลูกแรกเกิดขึ้นประมาณ 4 ทุ่มครึ่งใกล้กับห้องน้ำของสถานบันเทิงซึ่งอยู่ด้านหลังโรงแรม ช่วงเวลานั้นคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงสั่งให้ปิดและนำคนออกเพื่อความปลอดภัย ขณะที่บางส่วนทยอยเดินมายังโรงแรมและที่สุดก็เกิดคาร์บอมบ์ขึ้น ทำให้จุดที่สองมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ” เอกชัย กล่าว

             ผู้บริหารโรงแรมรายนี้บอกอีกว่า คืนที่เกิดเหตุห้องพักเต็มทุกห้อง โชคดีที่ลูกค้าโรงแรมบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเพื่อความปลอดภัยหลังจากเกิดเหตุได้อพยพลูกค้าทั้งหมดออกจากโรงแรมไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย

             อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นที่โซนอื่นๆ ที่ไม่ได้รับความเสียหายจะพยายามเปิดให้เร็วที่สุดภายในสัปดาหนี้ ยกเว้นส่วนที่เสียหายอาจต้องรอการตรวจสอบอีกครั้ง

             “กฤษฎา แก้วถาวร” เจ้าของรถยนต์มาสด้าสีขาวที่จอดอยู่หน้าบ้านเลขที่ 400/81 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับรถคาร์บอมบ์ประมาณ 20 เมตร เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ระทึกว่า ปกติจะจอดรถขวางหน้าบ้านไว้เผื่อว่าจะมีใครมาจอดรถปิดทางเข้าบ้าน กระทั่งทราบข่าวว่ามีระเบิดลูกแรกขึ้นที่ผับด้านหลังจึงย้ายรถเข้ามาจอดตรงช่องหน้าบ้าน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มีผู้คนทยอยเดินมาหลบภัย และเป็นเวลาเดียวกับที่ตัวเองเดินลงจากรถเข้าบ้านพอดี

             “วินาทีที่เดินเข้าบ้านไม่ถึง 5 นาทีก็เกิดระเบิดขึ้นตามหลัง สะเก็ดระเบิดพุ่งเจาะทะลุรถที่จอดอยู่จนเป็นรูพรุนเกือบทั้งคัน ถือว่าโชคดีมากเพราะหากไม่มีรถจอดขวางไว้สะเก็ดระเบิดจะพุ่งเข้าในบ้านที่มีคนอยู่ภายในบ้านเต็มๆความสูญเสียอาจมากกว่านี้” กฤษฎา เล่าเหตุการณ์ระทึก

             เช่นเดียวกับ “อนุศักดิ์ อุ่นเรือน” อายุ 36 ปี อยู่บ้านบนถนนหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์นวิว เล่าว่า เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่งได้ยินเสียงระเบิดลูกแรก ถ้าฟังจากห้องนอนเสียงก็ไม่ดังมาก เหมือนประทัดยักษ์ 2-3 ลูกรวมกัน จากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงก็เกิดระเบิดลูกที่สองดังสนั่น มีสะเก็ดระเบิดลอยมาตกเหมือนกับฝน แล้วก็มีเสียงคนชุลมุนวุ่นวายมาก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงชาวบ้านที่จะวิ่งเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ ก็มีเสียงห้ามปรามว่าระวังจะมีระเบิดซ้ำ

             “ทำใจว่าเหตุการณ์แบบนี้มักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก คนจ้องจะทำ กับคนเฝ้าระวัง คนเฝ้าระวังก็เสียเปรียบอยู่แล้ว ซึ่งแอบหวั่นๆ ในใจว่าสักวันหนึ่ง อาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้ เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ปัตตานี 365 วัน สุดท้ายก็เป็นเรื่องจริง ก็ได้แต่ภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ ให้คุ้มครองเราให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ความรุนแรง” เสียงสะท้องจากผู้ได้รับความเดือดร้อน

รูปแบบก่อเหตุเปลี่ยนจากเดิม

             “ศิริชัย ปิติเจริญ” ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า สำนักงานหอการค้าจังหวัดปัตตานีได้รับผลกระทบด้วย กระจกได้รับความเสียหาย แรงระเบิดยังไปถึงประตูหลังบ้านเกือบหลุด ตอนนั้นรู้ว่าระเบิดใกล้ๆ แต่ไม่รู้ตรงไหน ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเคยมีครั้งหนึ่งที่โรงแรมเซาท์เทิร์นวิว แต่เป็นลูกเล็กๆ แค่หยอกๆ นานมาแล้ว

             แต่ครั้งนี้หนักมากเมื่อเทียบกับระเบิดโรงแรมซี.เอส.ปัตตานี ครั้งนี้หนักกว่าเยอะ เมื่อเช้าเข้าไปดูที่เกิดเหตุเนื่องจากเป็นห่วงว่าสำนักงานหอการค้าจังหวัดปัตตานีอยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ และยังมีบ้านให้คนเช่าอยู่ ก็เข้าไปดูว่าเขาได้รับผลกระทบอะไรบ้าง เขาก็บอกว่ายังไม่เป็นไร

             “พบกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เข้ามาดูพื้นที่เกิดเหตุ เห็นสภาพแล้วต้องบอกว่าลูกนี้เป็นลูกใหญ่มาก”

             สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ก็ต้องตอบโดยใช้คำเดิมว่า อันนี้มันไม่ใช่ครั้งแรกของปัตตานี แต่มันอาจจะแตกต่างจากกรณีที่เกิดขึ้นใน 7 จังหวัดเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นคนละกรณี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมามันจะคล้ายกันตรงที่ว่า 7 จังหวัดอาจจะเกิดสะดุดในระยะสั้น แต่หากรัฐบาลดูแลก็สามารถเดินต่อไปได้

             แต่สำหรับที่ปัตตานี้ครั้งนี้ อาจจะทำให้เกิดการสะดุดนานกว่า เพราะจะมีคำถามพ่วงตามมาว่า แล้วทำไมยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งไม่น่าจะเกิดเหตุแบบหนักๆ แบบนี้ในพื้นที่นี้แล้ว แต่ด้วยความที่เราอยู่กับมันมานานกว่า 10 ปี เราก็รู้ว่าทุกฝ่ายทำดีที่สุดแล้ว ทั้งฝ่ายความมั่นคง ทั้งฝ่ายเจ้าของสถานที่ เจ้าของโรงแรม

             “ทางฝ่ายภาครัฐหรือฝ่ายความมั่นคง ต้องรีบสร้างความเชื่อมั่นกลับมาโดยเร็ว”

             ศิริชัย กล่าวด้วยว่า คำถามที่ว่าในเมื่อทุกฝ่ายทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว แต่ทำไมยังเกิดเหตุขึ้นมาได้อีก ต้องเข้าใจว่าคนที่จ้องทำกับคนที่เฝ้าระวังมันต่างกัน คนที่คอยจ้องก็ต้องพยายามหาวิธีการและโอกาสในการก่อเหตุ และเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะใน จ.ปัตตานี หรือประเทศไทยเท่านั้น

             เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันก็เกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ ซึ่งการป้องกันทำได้ค่อนข้างยาก บวกกับรูปแบบในการก่อเหตุก็มีการพัฒนา มีการปรับเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม ทำให้คนที่เฝ้าระวังก็ไม่รู้ว่ามันจะมาตอนไหน อย่างไร

             “ครั้งนี้ก็ทราบมาว่ารถคาร์บอมบ์ก็เป็นรถพยาบาล นี่คือวิธีการเขาเปลี่ยน ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีการแบบนี้ ขนาดนี้ อะไรทำนองนี้”

             สรุปก็คือว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไรเลยเราก็คงโดนหนักกว่านี้ ที่เราพยายามดูแลกันทั้งฝ่ายความมั่นคง หรือทางฝ่ายประชาชนเอง ก็ทำกันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเราโดนหนักกว่านี้ เหมือนสมัยที่มีการดับไฟเผาเมืองทำนองนั้น หรือการวางระเบิดคราวเดียวกัน 20-30 จุด สร้างความโกลาหล

             ปัจจุบันเรามีมาตรการป้องกันที่ดีที่สุดแล้ว แต่โอกาสของคนที่จ้องกระทำยังไงเขาก็ต้องหาช่องหาโอกาสจนได้นั่นแหละ ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำคือ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา ไม่รู้จะพูดแล้วจะดีหรือไม่ดี สำหรับคนในพื้นที่ที่ว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอ

             ถามว่าเราอยากให้เกิดมั้ย เราก็ไม่อยากให้เกิด แต่ไม่ได้หมายความว่าในพื้นที่นี้ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลย แต่ทำอย่างไรให้คนข้างนอกเข้าใจว่า คนในพื้นที่ยังอยู่ได้ ฉะนั้นคนนอกพื้นที่ก็สามารถเข้ามาในพื้นที่นี้ได้ เพราะผมยังอยู่ได้ใครก็มาได้ 

             “เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีนักลงทุนจากต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่พอเกิดเหตุระเบิดใน 7 จังหวัดเมื่อวันที่ 11 และ 12 สิงหาคม เขาก็ถามว่ายังไปในพื้นที่ได้อีกหรือไม่ ผมก็บอกว่ายังมาได้ ไม่มีปัญหา เขาก็มา นั่นคือสิ่งที่เราต้องอธิบายให้คนข้างนอกเข้าใจว่าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เหมือนมีสงครามนะ คนในพื้นที่ก็ยังอยู่กันได้ แต่เมื่อมันมีเหตุเกิดมันก็เกิด มันจะต่างกันตรงที่ หากระเบิดในกรุงเทพฯ จะมีผลกระทบรุนแรงกว่า 3 จังหวัด แม้ว่าระเบิดจะเล็กกว่า ไม่รุนแรงเหมือน 3 จังหวัด ฉะนั้นระเบิดที่เกิดขึ้นที่ปัตตานี มันก็คือระเบิด”

             “ผมยังยืนยันว่า คนข้างนอกยังสามารถเดินทางเข้ามาได้ และอยู่ได้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานี กล่าว

เข้าปีที่ 13 ไฟใต้ สถิติคาร์บอมบ์ครึ่งร้อย

             เหตุการณ์ระเบิดคาร์บอมบ์หน้าโรงแรมเซาท์เทิร์นวิว ปัตตานี เมื่อคืน 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายคือ น.ส.อรพรรณ ศรีเรือนหัด และยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ซึ่งระเบิดคาร์บอมบ์ครั้งนี้ นับเป็นลูกที่ 4 ที่เกิดขึ้นในรอบปี 2559

             จากการรวบรวมข้อมูลสถิติคาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน (23 ส.ค.59) โดย ศูนย์ข่าวอิศรา พบว่า ได้เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ทั้งในและนอกพื้นที่ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์และกลุ่มคนร้ายจากชายแดนใต้ ขึ้นมาแล้วทั้งหมด 50 ครั้ง แยกตามพื้นที่ได้ดังนี้ จ.นราธิวาส 23 ครั้ง จ.ยะลา 12 ครั้ง จ.ปัตตานี 11 ครั้ง จ.สงขลา 3 ครั้ง และ จ.สุราษฎร์ธานี 1 ครั้ง (ที่เกาะสมุย)

             ขณะที่สถิติระเบิดคาร์บอมบ์หรือวัตถุระเบิดที่ประกอบในรถยนต์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่รวบรวมโดย หน่วยทำลายวัตถุระเบิด หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน (23 ส.ค.59) ได้เกิดระเบิดคาร์บอมบ์ขึ้นมาแล้วทั้งหมด 51 ครั้ง โดยแยกตามรายปีจะพบว่า ปี 2555 เกิดคาร์บอมบ์มากที่สุดถึง 13 ครั้ง รองลงมาปี 2554 เกิดคาร์บอมบ์ขึ้น 7 ครั้ง ปี 2552 เกิดคาร์บอมบ์ขึ้น 6 ครั้ง ปี 2551 และปี 2553 เกิดคาร์บอมบ์ขึ้นปีละ 5 ครั้ง ปี 2559 เกิดคาร์บอมบ์ขึ้น 4 ครั้ง ปี 2548 ปี 2556 และปี 2557 เกิดคาร์บอมบ์ขึ้นปีละ 3 ครั้ง ปี 2558 เกิดคาร์บอมบ์ขึ้น 2 ครั้ง ส่วนปี 2547 ปี 2549 และปี 2550 ไม่เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์

             นอกจากนี้ยังมีสถิติเกี่ยวกับระเบิดทุกประเภทที่เกิดขึ้นที่ในพื้นจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา) ที่ หน่วยทำลายวัตถุระเบิด หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย ได้รวบรวมเอาไว้ ตั้งแต่ 4 มกราคม 2547 จนถึง 5 กรกฎาคม 2559 พบว่า เกิดเหตุระเบิดขึ้นทั้งหมด 3,708 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปี 2559 นับตั้งแต่ 1 มกราคม 2559 จนถึง 5 กรกฎาคม 2559 ได้เกิดเหตุระเบิดแล้วทั้งหมด 164 ครั้ง

             ส่วนระบบจุดระเบิดที่พบถูกนำมาใช้ในการก่อเหตุระเบิดในพื้นที่ จากเหตุระเบิด 164 ครั้งของปี 2559 แยกตามระบบจุดระเบิดได้ดังนี้ 1.ระบบDTMF 50 ครั้ง 2.ตั้งเวลาวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 30 ครั้ง 3.ตั้งเวลาด้วยโทรศัพท์มือถือ 25 ครั้ง 4.วิทยุสื่อสาร 22 ครั้ง 5.ไม่ทราบระบบจุดระเบิด 11 ครั้ง 6.แบบลากสายไฟ 10 ครั้ง 7.กับดักระเบิด 6 ครั้ง 8.ระบบจุดระเบิดอื่นๆ 6 ครั้ง 9.ตั้งเวลาจากนาฬิกา 4 ครั้ง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ