คอลัมนิสต์

การปรับทัศนคติที่บ้านไผ่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

การปรับทัศนคติที่บ้านไผ่ : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา

             ณ วินาทีนี้ ทำอย่างไรก็รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่เสียแล้ว กับข่าวของนักการเมืองคนหนึ่งที่มีดีกรีถึงดอกเตอร์ และเคยเรียนแพทย์ แต่กระทำการบางอย่างลุแก่อำนาจต่อสื่อมวลชนท้องถิ่น เรื่องที่ควรจะทำให้ง่ายได้ กลับเปลี่ยนประเด็นส่อเค้าว่าจะยุ่งกันใหญ่ ดูท่าแล้วว่าความเพลี่ยงพล้ำนี่จะใหญ่หลวงนัก ไม่ใช่เพราะพี่หมอไปมีเรื่องกับนักข่าว ซึ่งเป็นฐานันดรที่สี่นั่นหรอก หากแต่การกระทำนี้มันกลับล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน และดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ หมออาจลืมไปว่า คนเราอาจมีฐานะตำแหน่งไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน นั่นคือศักดิ์ศรีของความเป็นคน

             เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น บ้านเกิดของคุณหมอนักการเมืองท่านนี้ ต้นตอของเหตุก็ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว คือ มีคนเอารูปการทำกิจกรรมส่วนตัวของหมอไปโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ และมีการแชร์กันสนั่นลั่นโลก ตามวิถีของผู้คนในสังคมก้มหน้า เหตุที่แชร์กันกระจายก็เพราะภาพของคุณหมอในสถานการณ์นั้น มันชวนให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า ท่านกำลังอยู่ในพิธีกรรมอันเป็นมงคล ที่ทำให้ใครหลายคนนึกอิจฉาตาร้อน ขณะที่หลายคนตกตะลึงพรึงเพริด บางคนก็ถึงกับถอนใจด้วยความหนักอก ในขณะที่หลายคนก็คงออกอาการรับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ภาพที่ถูกแบ่งปันนี้ ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยกันทั่วหน้า นี่เองที่ทำให้ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นใน จ.ขอนแก่น ต้องออกปฏิบัติการสืบถามความจริงตามหน้าที่ของสื่อมวลชน พวกเขานัดพบกับหมอในสำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ข่าวว่ามีไปกันหลายคน จุดประสงค์ก็คงจะไปสัมภาษณ์สอบถามความจริงให้กระจ่าง แต่การณ์กลับตาลปัตร เพราะโดนคุณหมอนักการเมืองและลูกน้อง จับเข้าห้องเพื่อปรับทัศนคติเสียแทน

             ชะรอยว่าคุณหมอนักการเมืองท่านนี้ฝังใจกับมาตรการ "ปรับทัศนคติ" ของ คสช.มากไปหน่อย พอมีเรื่องนักข่าวเอารูปของท่านไปลงในหน้าหนังสือพิมพ์ ท่านก็เลยใช้วิธีการเดียวกันนี้ เรียกนักข่าวเข้าห้อง ตรวจค้นและเก็บริบเครื่องมือทำมาหากินทุกอย่างของนักข่าว ไม่เว้นแม้แต่ปากกากับกระดาษ บรรดานักข่าวก็ได้แต่ตะลึงพรึงเพริด เพราะมาเจอสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ตอนแรกก็กะว่าจะมาซักถามหาความจริงกับคุณหมอนักการเมือง แต่กลับเสียทีโดนคุณหมอจับใส่ห้องปิดประตูตีแมวโดยไม่ทันตั้งตัว

             อันที่จริงใครๆ ก็คงพอเข้าใจได้หรอกว่า การที่เรื่องลับส่วนตัวถูกนำไปเผยแพร่ในหน้าข่าวนั้น มันชวนให้หัวเสียแค่ไหน แต่อย่างว่านั่นแหละ "ควันความ มิใช่ความ ฤจะปิดจะป้องคง" รับรองได้ว่า ถ้าหมอนำเงินไปบริจาคให้เด็กยากไร้ข้างถนนภาพของหมอก็จะไม่ค่อยได้เป็นข่าวหรอก แต่นี่หมอดันไปบริจาคเงินค่าอาหารกลางคืน ให้แก่เด็กสาวส่ำน้อย มันก็เลยเป็นข่าว (คาว)ขึ้นมาจนได้ เป็นใครโดนแบบนี้ ก็คงหัวเสียกันทั้งนั้น

             อันที่จริงเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนตัวในสื่อทั้งหลายมันมีช่องทางที่จะแก้ไขจนได้ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย ผู้สื่อข่าวที่พากันไปหาคุณหมอก็เห็นว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ หากตั้งสติดีๆ ค่อยพูดค่อยจา เชื่อแน่ว่าอาจช่วยแก้ไขอะไรๆ ที่มันย่ำแย่ให้บรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่นี่คุณหมอกลับใช้วิธีการ “ปรับทัศนคติ” แบบแรงไปหน่อย จนถึงกับจับนักข่าวอาวุโสท่านหนึ่งแก้ผ้าแก้ผ่อนประจาน นี่มันหนักเกินไป จนใครๆ ไม่อาจรับได้ ผมเชื่อนะครับว่า ข่าวส่วนตัวของคุณหมอ แรกๆ ก็คงมีคนรับไม่ได้กันหลายส่วน แต่ถ้ามันถูกจำกัดวงให้อยู่ในบริบทเรื่องส่วนตัวอีกไม่นานคนก็ลืม แต่การเอาคืนของท่านนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่นั้น มันเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และคุกคามสื่อมวลชนอย่างชัดแจ้ง ที่สำคัญคือ มันเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นี่แหละครับที่มันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที

             ที่เขียนมานี้ไม่ได้เจตนาจะทับถม ซ้ำเติมใคร เพราะเรื่องแบบนี้ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรอก แต่กรณีเหตุการณ์ที่บ้านไผ่ มันน่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนสติเราท่าน ที่มีชีวิตอยู่ในโลกสมัยใหม่ว่า จะกระทำอันใดต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ และอย่างมีสติ การลุแก่โทสะ โมหะและอำนาจนั้น ไม่เป็นผลดีแก่ใครทั้งสิ้น เพราะค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปมันสูงลิ่ว

             จริงไหมครับพี่น้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ