
ขอตัว " เณรคำ " ผู้ร้ายข้ามแดน
ปิดฉาก “ เณรคำ ” บนเส้นทาง ศรัทธา ปริศนา นารี และทรัพย์สิน
หลังจากตะโกนก้องร้องถาม “ Where are you เณรคำ ? ” กันมาหลายปี ที่สุดวันนี้ไม่ต้องทำเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อ “ เณรคำ ” ตกอยู่ในมือตำรวจสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยเมื่อ 22 กรกฎาคม 2559
ส่วนจะกลับมาเมืองไทยแบบตัวเป็นๆ เมื่อใดนั้นต้องติดตาม แต่ที่แน่ๆ ถือเป็นการปิดฉาก “ปริศนานารีและทรัพย์สิน” ของ เณรคำ อีกวาระหนึ่ง
“ เณรคำ ” หรือที่ลูกศิษย์ลูกหาเรียกขานว่า “ หลวงปู่ เณรคำ ฉัตติโก ” มีนามเดิมว่า ‘วิรพล สุขผล’ เป็นชาวอุบลราชธานี ถือกำเนิดที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 เป็นบุตรคนที่ 4 ของ พ่อรัตน์-แม่สุดใจ สุขผล มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 6 คน หลังบวชแล้วได้รับฉายาว่า “ฉัตติโก” ปัจจุบันอายุได้ 37 ปี
ด้วยความที่มีพี่น้องเป็นผู้ชายถึงห้าคนตามแบบวิถีคนอีสาน พ่อจึงพาเข้าวัดตั้งแต่อายุยังน้อย จึงฝักใฝ่ในธรรมตั้งแต่ยังเด็ก เพียงแค่อายุ 6 ขวบก็เริ่มปฏิบัติจิตบำเพ็ญภาวนากรรมฐานแล้ว หยุดเรียนทุกวันพระแล้วนุ่งขาวห่มขาวไปถือศีลบำเพ็ญภาวนา ส่วนวันธรรมดาเมื่อไปโรงเรียนก็จะนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ทุกพักเที่ยง พอเลิกเรียนจะเข้าไปไหว้พระก่อนกลับบ้านทุกวัน จากนั้นจึงเดินจงกรมกลับบ้าน
ครั้นโตขึ้นเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา คิดเพียงการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรเพื่อการหลุดพ้น เลิกเรียนจึงไปปักกลดนั่งบำเพ็ญภาวนาที่กระต๊อบกลางน้ำปลายนาของโยมพ่อโยมแม่ทุกวัน บางครั้งอยู่จนถึงสว่างก็มี กระทั่งครั้งหนึ่งขณะนั่งบำเพ็ญเพียรรู้สึกได้ว่า ตัวลอยขึ้นแล้วเดินจงกรมเหนือพื้นดิน จึงเป็นแรงหนุนนำให้เข้าสู่เส้นทางธรรมยิ่งขึ้น
จากนั้นจึงบรรพชาเป็นสามเณรตอนอายุได้ 15 ปี โดยมีท่านพระครูพิบูลธรรมภาณ หรือ “หลวงปู่โชติ อาภัคโค” เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาจำพรรษาที่ “วัดป่าดอนธาตุ” อ.พิบูลมังสาหาร ระยะหนึ่ง แล้วเดินทางจาริกธุดงค์ ปักกลดอยู่ถ้ำภูตึก บ้านคุ้มปากมูล อ.โขงเจียม
ที่ “ถ้ำภูตึก” นี้เอง เณรคำได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกคนเดียว นานถึง 3 เดือน จนมีเรื่องเล่าถึงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ที่ได้เจอ เช่น “งูเหลือม” ที่เลื้อยมาพาดขา พาดตักระหว่างนั่งสมาธิ หรือบางคืนขณะนอนอยู่ งูเหลือมเลื้อยมาขดอยู่บนหน้าอก เป็นต้น ทว่าไม่มีความกังวลใดๆ เนื่องจากถือว่าได้ถวายชีวิตบูชาคุณพระพุทธเจ้าไปแล้ว เป็นต้น
หลังจากบำเพ็ญภาวนาในถ้ำแล้ว จึงออกจาริกธุดงค์เรื่อยไปในหลายจังหวัด กระทั่งอายุครบบวชวัย 20 ปี จึงได้กลับมาอุปสมบท ณ วัดดอนธาตุ ที่บ้านเกิดอีกครั้ง เมื่อ 28 พฤษภาคม 2542
โดยมีท่านเจ้าคณะอำเภอพิบูลมังสาหาร พระครูพิพัฒน์สังฆกร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระจีรศักดิ์ กิจสาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระชา อมโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “ฉัตติโก”
พอญัตติอุปสมบทเสร็จเรียบร้อย ได้เดินทางลาพระอุปัชฌาย์ พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์กลับไปยัง วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวัดแห่งใหม่เพิ่งเริ่มสร้างในปีนั้น
สำหรับ “วัดป่าขันติธรรม” สร้างจากศรัทธาธรรมของ นางทองมี วุฒิยาสาร หรือ แม่เหนาะ อุบาสิกาผู้เลื่อมใสพุทธศาสนา ได้บริจาคที่ดินจำนวน 9 ไร่ วาดหวังไว้เป็นสถานที่ให้บุคคลกระทำความเพียร บำเพ็ญภาวนา เพื่อระงับกิเลสตัณหาให้น้อยลงจนถึงความหลุดพ้นจากกองกิเลส ตามพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาปี 2550 มีจิตศรัทธาถวายเพิ่มอีก
“ให้ทุกคนเข้าถึงการหลุดพ้น พ้นจากเวไนยสัตว์ทั้งหลาย พ้นจากบ่วงแห่งทุกข์ทั้งปวง” เป็นธรรมะที่ เณรคำ ได้นำมาเทศนาธรรมเสมอๆ
ตลอดระยะเวลา 8 ปีนั้น นอกจากที่วัดแล้ว เณรคำ ยังมีการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศหลายครั้ง จากการนิมนต์ของลูกศิษย์ลูกหาในต่างแดน ทำให้ เณรคำ เป็นที่รู้จักมากขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเทศนาธรรมที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย เล่าเรื่องอะไรก็เป็นที่สนุกสนาน ถูกใจ แถมยังเป็นกันเองกับโยม “พ่อเฒ่าแม่แก่” ที่เข้าวัด ยิ่งเห็นว่าเป็นคนที่ฝักใฝ่ในรสพระธรรมมาตั้งแต่เด็ก ศรัทธาธรรมผู้เลื่อมใสจึงยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณ
โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่นั้น ร่ำลือกันยกใหญ่ว่า เณรคำ ไม่เหมือนใคร บางครั้งอยู่ในกลดเห็นเป็นพระแก่ แต่พอตอนบินฑบาตกลับเป็นพระหนุ่ม อีกทั้งยังเห็นอีกว่ารูปร่างผิวพรรณนั้นเหลืองผ่องสว่างคล้ายผิวทองคำ ศรัทธาธรรมผู้เลื่อมใสทั้งหลายจึงพร้อมใจเรียกขาน “ หลวงปู่ เณรคำ ” ตั้งแต่นั้นมา
ก่อนที่ภาพ “ หลวงปู่ เณรคำ ” ในวันที่นั่งบนเครื่องบินเจ็ต พร้อมจัดเต็มด้วยแบรนด์เนมครบเซต ทั้งแว่นกันแดด สมาร์ทโฟน และกระเป๋าหนังลายโมโนแกรมแบรนด์ดัง จะปรากฏขึ้น พร้อมด้วยปริศนานารีและทรัพย์สินต่างๆ จะตามมาจนเป็นเหตุให้ต้องลี้ภัยไปต่างแดนในที่สุด