คอลัมนิสต์

แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เครือข่ายค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ ใช้ไทยเป็นฐานในการลักลอบนำสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือเข้าสู่ตลาดมืดในย่านอินโดจีน


               เป็นที่รับรู้กันในหมู่นักอนุรักษ์ทั่วโลกว่ามีเครือข่ายค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ ใช้ไทยเป็นฐานในการลักลอบนำสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือเข้าสู่ตลาดมืดในย่านอินโดจีน หากเป็นเสือจากป่า ส่วนมากจะมาจากเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียเข้าไทยทาง จ.สตูล และจากตอนเหนือของมาเลเซียเข้าไทยทางตะเข็บชายแดนภาคใต้ตอนล่าง อีกแหล่งจะมาจากพม่าเข้ามาทาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีข้อมูลว่าเสือจำนวนนี้มีบางส่วนที่จะนำไปพักในสวนเสือบางแห่งในภาคกลางและภาคตะวันออก รอเวลาส่งไปยังชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน 3 เส้นทาง คือผ่าน จ.หนองคาย จ.บึงกาฬ และ จ.นครพนม ข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศลาว ซึ่งมีฟาร์มรองรับอยู่ที่เวียงจันทน์ ปากซัน และท่าแขก ผ่านไปยังเวียดนามและจีน

               มีฟาร์มเสืออย่างน้อย 3 แห่งในประเทศลาว ที่ถูกใช้เป็นสถานที่ชำแหละเสือ โดยเนื้อจะถูกส่งขายตามร้านอาหารเปิบพิสดาร ที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน ส่วนกระดูกจะถูกเลาะแล้วนำไปเคี่ยวไฟในอุณหภูมิที่คงที่เป็นเวลานาน 7 วัน จนกลายเป็นเจลใส ดูเผินๆ จะคล้ายกับกาวเหนียวๆ สีออกน้ำตาล ซึ่งเสือที่ถูกฆ่าจะมีอายุราว 7 ปีไปจนถึง 20 ปี 1 ตัวจะได้กระดูกราว 30 กิโลกรัม เมื่อนำไปเคี่ยวแล้วจะได้เจลใสราว 400 กรัม ราคาสูงถึงกรัมละ 6 หมื่นบาท

 

แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง'

 

               เจลใสที่ได้จากการเคี่ยวกระดูกเสือนี้จะนำไปดองเหล้าบริโภคกันในกลุ่มที่เชื่อว่าจะช่วยให้มีกำลังวังชา รักษาโรคร้ายต่างๆ ได้ โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนและเวียดนาม ซึ่งจะหาซื้อได้ในร้านขายยาโบราณในจังหวัดกว่างบิ่นห์ และจังหวัดใกล้เคียงทางตอนกลางของเวียดนาม รวมทั้งบางส่วนถูกส่งต่อไปยังประเทศจีน

               สำหรับเนื้อเสือจะเป็นเมนูเด็ดของร้านอาหารป่าที่กระจัดกระจายอยู่ในประเทศลาว ซึ่งมีมากใน จ.ท่าแขก ฝั่งตรงข้าม จ.นครพนม เมื่อ 2-3 ปีก่อนมีการวางจำหน่ายกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ปัจจุบันหลังจากมีกฎหมายควบคุมทำให้ร้านอาหารเหล่านี้ระมัดระวังมากขึ้น จะจำหน่ายอาหารเมนูเนื้อเสือให้แก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มมีการสั่งจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน แต่ทางร้านอาหารเหล่านี้จะมีเนื้อสัตว์ป่าอื่นๆ จำหน่ายโจ่งแจ้ง เช่น อุ้งตีนหมี ซากเลียงผา กระทิง งูจงอาง นิ่ม และสัตว์ป่าอื่นอีกหลายชนิด ซึ่งจะมีทั้งเนื้อสดและซากที่ดองกับเหล้า

 

แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง'

 

               “เสือที่ผ่านไทยประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์มาจากป่า ส่วนใหญ่จากเกาะสุมาตราหรือมาเลเซีย ที่เหลือ 90 เปอร์เซ็นต์ไปจากฟาร์มหรือสวนสัตว์ ส่งไปชายแดนประเทศลาวส่งต่อไปยังเวียดนามและจีน ถ้าเป็นลูกเสือจะขายกันราว 1-2 แสนบาท จะถูกนำไปเพาะพันธุ์ป้อนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์ป่า เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนชอบป้อนนมหรือถ่ายภาพกับลูกเสือ พออายุราว 7 ปีจะดุร้ายขึ้นก็จะถูกฆ่าชำแหละขาย หากเป็นเสือที่โตแล้วบางกรณีจะชำแหละไปเลย ที่มีราคาตอนนี้คือกระดูกที่เอาไปเคี่ยวเป็นยาดองเหล้า และอวัยวะเพศของเสือตัวผู้ที่มีความเชื่อว่าบริโภคแล้วมีผลต่อการเสริมสมรรถภาพทางเพศ ทั้งที่ไม่เคยมีงานวิจัยใดๆ ยืนยันเลยว่าได้ผลจริง” นายเอ็ดวิน วีค เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า ให้ข้อมูล

               มีข้อมูลว่ามีนักธุรกิจอย่างน้อย 3 กลุ่มใช้ไทยเป็นฐานในการค้าสัตว์ป่า รวมทั้งเสือด้วย กลุ่มแรกคือกลุ่มของนายมล นักธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ป่ารายใหญ่ในภาคตะวันออก ปัจจุบันเครือข่ายนี้มีเสืออยู่ในครอบครองนับร้อยตัว กลุ่มต่อมาคือนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม มีบริษัทจดทะเบียนอยู่ในประเทศลาว เป็นกิจการขนาดใหญ่ครบวงจร และขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย พนักงานส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม ปัจจุบันมีกิจการสวนสัตว์อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคยถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์ในความผิดเกี่ยวกับการค้าไม้พะยูงและค้าสัตว์ป่า อีกกลุ่มเป็นกลุ่มพี่น้องชาวลาวเชื้อสายเวียดนาม ตระกูลหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ที่ใกล้ชิดกับคนของทางการลาว เมื่อ 5 ปีก่อนเคยถูกจับในแอฟริกาใต้เพราะถูกตรวจพบว่าเข้าไปลักลอบค้าสัตว์ป่า ปัจจุบันอยู่ในการจับตาของทางการสหรัฐอเมริกา 

 

แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง'

 

               เครือข่ายค้าสัตว์ป่าใน 2 กลุ่มหลังมีความเชื่อมโยงกัน โดยข้อมูลการสืบสวนพบว่า มักทำธุรกิจค้าขายสัตว์ป่าร่วมกันหลายครั้ง และนอกจากเสือแล้วปัจจุบันสัตว์ป่าที่เครือข่ายนี้ทำธุรกิจร่วมกันคือ ตัวนิ่ม จากประเทศในกลุ่มอินโดจีนไปยังโตโกและฝรั่งเศสด้วย

               เครือข่ายเหล่านี้มักใช้สวนเสือเป็นแหล่งในการเพาะพันธุ์ บางส่วนนำลูกเสือที่ได้ไปสวมเข้ากับเสือที่แจ้งยอดไว้กับหน่วยงานรัฐ เพื่อทดแทนหลังจากนำเสือตัวนั้นเข้าสู่ตลาดมืดไปแล้ว ซึ่งนอกจากการฆ่าเพื่อการบริโภคในธุรกิจอาหารเปิบพิสดารแล้ว อวัยวะอื่นๆ ของเสือเช่นหนัง เขี้ยว และเล็บ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดของขลัง เพราะความเชื่อที่ว่าใครมีไว้ครอบครองจะช่วยเสริมอำนาจบารมี เป็นที่เกรงขามของบุคคลอื่นอย่างเช่นเสือเป็นสัตว์นักล่า ที่สัตว์ชนิดอื่นต่างหวาดกลัว

 

แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง'

 

               “เครื่องรางของขลังจากเสือโดยการปลุกเสกจากเกจิอาจารย์จากวัดชื่อดังต่างๆ ยังคงเป็นที่นิยมของคนที่สะสมหรือครอบครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ว่ากันว่า เพื่อเสริมบารมี อำนาจ รวมไปถึงการป้องกันภัยต่างๆ ด้วย ขณะที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของเสือนั้นก็สามารถที่จะนำไปทำเครื่องรางของขลังชนิดอื่นได้” นายวันชัย พงศ์สมเพชร ผู้ค้าเครื่องรางของขลัง ให้ข้อมูล

               ผู้ค้าของขลัง รายนี้บอกด้วยว่า เสือเป็นสัตว์หายาก ทุกส่วนจึงมีมูลค่าสูง หัวเสือ 5-7 หมื่นบาท หนังเสือผืนละ 1-2 แสนบาท เขี้ยวเสือ 5 พัน-2 หมื่นบาท เสือที่จ้างนายพรานจับมาจากพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ถูกส่งมาแยกชิ้นส่วน ก่อนส่งไปยังไปยังลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ปลายทางอยู่ที่จีน และยังมีการประกาศขายในเว็บไซต์โดยบรรยายคุณสมบัติเด่น สนนราคาตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน มีลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจ แม้แต่แหล่งจำหน่ายวัตถุมงคลชื่อดัง ยังวางขายอย่างโจ่งแจ้ง

               การตรวจยึดซากลูกเสือจำนวนมากและชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งหนังเสือ ตะกรุดหนังเสือ ตะกรุดหางเสือ เขี้ยวเสือ ในวัดชื่อดังที่กาญจนบุรี ตอกย้ำความสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าสัตว์ป่า

 

แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง'

 

               สอดคล้องกับรายงานของ นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา เรื่องวัดเสือกับเบื้องหลังค้าเสือในตลาดมืด ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่า ฟาร์มเสือกว่า 30 แห่ง ซึ่งบางแห่งเป็นธุรกิจในครอบครองของเครือข่ายค้าสัตว์ป่าที่เจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่ และกำลังตรวจสอบพฤติกรรมว่ากระทำความผิดหรือไม่

               นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยอมรับว่าการค้าเสือและซากเสือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอยู่ระหว่างประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตำรวจสากลในการเฝ้าระวัง โดยยืนยันว่าในไทยมีเครือข่ายค้าสัตว์ป่าใช้ไทยเป็นแหล่งซื้อแหล่งขายและทางผ่าน มีทั้งงาช้าง ซากเสือ เต่า และสัตว์อื่น ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมีความพยายามในการประสานตำรวจ ทหารและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงองค์การต่างประเทศที่เกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการค้าสัตว์เพื่อช่วยกันสกัดกั้นและแก้ปัญหา โดยขณะนี้มีนโยบายชัดเจนหากจับกุมได้จะประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึง ปปง.ให้ดำเนินการยึดทรัพย์ทันที

 

-----------------

(เรื่องเล่าข่าวดัง : แกะรอย 'ขบวนการค้าเสือโคร่ง' เมนูเปิบพิสดาร 'อินโดจีน' : โดย...ทัศชยันต์ วาหะรักษ์)

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ