คอลัมนิสต์

แพ้ศึก..แต่ไม่พ่ายสงคราม

แพ้ศึก..แต่ไม่พ่ายสงคราม

27 พ.ย. 2555

แพ้ศึก..แต่ไม่พ่ายสงคราม : ขยายปมร้อน โดยทีมข่าวความมั่นคง

             การประกาศยุติการชุมนุมของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ "เสธ.อ้าย" เมื่อเย็นวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ถูกค่อนแคะว่า "ล่มปากอ่าว" ทำให้เครดิตของเสธ.อ้าย มลายหายไปหมดแล้ว ดังที่เจ้าตัวย้ำแล้วย้ำอีกหลายรอบว่า "พล.อ.บุญเลิศ ได้ตายไปแล้ว"
    
             เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในกองทัพประมวลภาพความล้มเหลวของม็อบเสธ.อ้าย ว่า เบื้องต้นนั้น เกิดจากบุคลิกของเสธ.อ้าย ที่พื้นฐานแล้วเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่ง ประกอบกับการเป็นนายทหารรุ่นเก่าที่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงไม่สามารถจูงใจผู้ชุมนุมได้อย่างมีพลัง
    
             ทว่า จุดที่น่าชื่นชมของเสธ.อ้าย คือ บุคลิกแบบ "ทหารแท้" ที่มีความรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างสูงสุด โดยหลังจากเหตุการณ์ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่แยกสวนมิสกวัน และสะพานมัฆวานรังสรรค์ เสธ.อ้าย ก็ไม่ลังเลที่จะประกาศยุติการชุมนุม แม้จะส่งผลเลวร้ายต่อความน่าเชื่อถือของตัวเองก็ตาม
    
             “เสธ.อ้ายทนไม่ได้ที่เห็นประชาชน และสมณเพศ ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาที่ตำรวจระดมยิงเข้าใส่ เพราะเสธ.อ้าย เป็นทหารแบบเต็มตัว ไม่ได้มีจิตใจฝักใฝ่การเมือง เพียงแต่อึดอัดกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้เท่านั้น”
    
             เขาเชื่อว่า เสธ.อ้าย คงประเมินสถานการณ์แล้วว่า ขืนดังทุรังต่อไปจนถึงช่วงกลางคืนจะ "ไม่คุ้ม" เพราะขนาดกลางวันแสกๆ ยังรุนแรงขนาดนี้ และเชื่อว่า ช่วงกลางคืนสถานการณ์อาจจะลุกลามบานปลาย เพราะมีข่าวมาว่า ตำรวจเตรียม “ตัดน้ำ-ตัดไฟ” ในพื้นที่ชุมนุมเพื่อเพิ่มแรงกดดัน
    
             นอกจากนี้ รัฐบาลยังวางยุทธศาสตร์การวางกำลังไว้อย่างเข้มงวดใน 3 จุดใหญ่ คือ 1.สะพานมัฆวานรังสรรค์ 2.ทำเนียบรัฐบาล และ 3.กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นพื้นที่รอบการชุมนุม ทำให้การเติมคนเป็นไปได้ยาก และอาจเกิดการปะทะรุนแรงขึ้นอีก
    
             ที่สำคัญ อาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่เตรียมใช้อาวุธ โดยอาศัยความมืดในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ เสธ.อ้าย เป็นห่วงมากที่สุด และอาจไปเข้าทางรัฐบาลที่เตรียมอาศัยสถานการณ์เพื่อออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาได้
    
             อีกปัจจัยที่ทำให้การชุมนุมต้องยุติลงเร็วกว่าที่คาด เนื่องจากการขาดประสบการณ์การนำม็อบของเสธ.อ้าย และการวางยุทธศาสตร์การใช้กำลังตำรวจอย่างแข็งกร้าวของรัฐบาล ทำให้ผู้ชุมนุมเกิดความหวาดกลัวมากกว่าที่จะฮึกเหิม ประกอบกับการสกัดกั้นการเดินทางมาสมทบของผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
    
             "ม็อบจะมีพลังได้เกิดจากปัจจัย 2 อย่าง คือ จำนวนคน กับการเคลื่อน ม็อบที่ไม่เคลื่อน และคนน้อยจะไม่มีพลัง ถ้าไม่เคลื่อนคนจะต้องเยอะถึงจะได้เห็นเป็นพลัง แต่ถ้าคนน้อยจะต้องเคลื่อน และจัดตั้งเป็นม็อบเคลื่อนที่ไปตามจุดต่างๆ เพื่อไปชุมนุมนอกพื้นที่ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้"
    
             เขาจึงมองว่า การยุติการชุมนุมของเสธ.อ้าย ทำได้ถูกต้องแล้ว ส่วนที่ผู้ชุมนุมที่มีความรู้สึกโกรธเคืองเสธ.อ้าย ที่รีบยุติการชุมนุมนั้น ถ้ามีเวลาไตร่ตรองจะต้องขอบคุณเสธ.อ้าย ที่ตัดสินใจได้ดีแล้ว แต่ถ้าจะมองว่าแพ้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า "แพ้" เพราะมากันจริงไม่กี่หมื่นคน จากที่ตั้งเป้าไว้หลายแสนจนถึงเป็นล้านคน
    
             "แต่ถ้าถือว่าเป็นความสำเร็จ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จได้เช่นกัน เพราะม็อบครั้งนี้ไม่ใช่ม็อบที่มีการจัดตั้งเหมือนกับม็อบเสื้อแดง หรือเสื้อเหลือง แต่ม็อบมาด้วยความรู้สึกอย่างเดียวคือไม่เอารัฐบาล และออกมาด้วยตัวเอง ซึ่งปกติม็อบแบบนี้จะมีอย่างมากแค่ไม่กี่พันคน แต่นี่ออกมาตูมเดียวหลายหมื่นคนเลย"
    
             นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลเกิดอาการหวั่นไหวมาก เพราะรู้ว่า นี่คือม็อบที่มาตามธรรมชาติ มาด้วยอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ และแค่ระดมกันครั้งสองครั้งยังมากันถึงขนาดนี้ ดังนั้น จึงได้เห็นภาพที่รัฐบาลระดมกำลังตำรวจขนานใหญ่ รวมทั้งสั่งการเข้มไปยังตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอให้สกัดคนทุกวิถีทาง ก่อนที่จะมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในเวลาต่อมา
    
             ทั้งนี้ แม้โดยผิวเผินจะมองว่า ม็อบเป็นฝ่ายแพ้ แต่รัฐบาล และตำรวจก็ "พลาด" อย่างมากที่ "ใช้ความรุนแรง" กับผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ และส่วนมากเป็นคนแก่ ขณะที่การปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอน เพราะมีการใช้แก๊สน้ำตาเข้าใส่เลย โดยที่ไม่ได้เจรจา หรือประกาศว่าจะใช้กำลังก่อน ทำให้มีผู้ชุมนุมและสื่อได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตา และการปะทะเป็นจำนวนมาก
    
             เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสรุปว่า ม็อบของเสธ.อ้าย เที่ยวนี้ แม้จะ "พ่ายศึก" แต่ก็ยัง "ไม่แพ้สงคราม" ที่จะมีการต่อยอดจากม็อบเสธ.อ้าย เพื่อยกระดับขับไล่รัฐบาลขั้นแตกหักต่อไป

....................

(หมายเหตุ : แพ้ศึก..แต่ไม่พ่ายสงคราม : ขยายปมร้อน โดยทีมข่าวความมั่นคง)