ข่าว

ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำคุก จตุพร หมิ่นอภิสิทธิ์ใหม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เจ้าตัว"ได้ประกัน 2 แสน สู้ฎีกาค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำคุก "ตู่"คดีหมิ่นใหม่

 

 

                 12 ก.ย.62-เจ้าตัว"ได้ประกัน 2 แสน สู้ฎีกาค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำคุก "ตู่"คดีหมิ่นใหม่ ทนาย ระบุ เป็นปัญหาข้อ ก.ม.ต้องฎีกาเป็นบรรทัดฐาน หากยึดแนวคำสั่งศาลอุทธรณ์กลับหมายบังคับโทษศาลชั้นต้น ทำให้ติดคุกอีกอย่างน้อย 11 เดือน   

                 เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งอุทธรณ์ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 ส.ค.61 ขอให้ยกเลิกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด ซึ่งออกโดยศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 ก.พ.61ในคดีที่นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ในคดีหมายเลขดำ อ.4176/2552 (คดีหมายเลขแดง อ.240/2558)  ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช.ในความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 กรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ประวิงเวลาเสนอความเห็นขอพระราชทานอภัยโทษนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.60 ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ให้จำคุกนายจตุพร 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญาและให้นับโทษคดีจำคุกนายจตุพร ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดง อ.4907/2555 (หมายเลขดำ อ.1962/2552) กรณีกล่าวหาเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน และใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดง

 

 

 

 ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำคุก จตุพร หมิ่นอภิสิทธิ์ใหม่

                    โดยคำร้องอุทธรณ์ของนายอภิสิทธิ์ ดังกล่าว ระบุว่าเมื่อคดีหมิ่นประมาท หมายเลขดำ อ.4176/2552 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกนายจตุพร 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญาและให้นับโทษคดีจำคุกนายจตุพร ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดง อ.4907/2555 (หมายเลขดำ อ.1962/2552) แล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้นับโทษนายจตุพรต่อ แต่จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าศาลชั้นต้นและศาลฎีกา ไม่มีอำนาจพิพากษาให้นับโทษจำคุกนายจตุพรต่อจากอาญาหมายเลขแดง อ.4907/2555 จำเลยจึงขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษายกเลิกหมายจำคุกถึงที่สุดฉบับเก่า (ที่ให้มีการนับโทษต่อ) และให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่

 

 

 ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำคุก จตุพร หมิ่นอภิสิทธิ์ใหม่

 

               ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วก็มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยเพราะว่ายกเลิกคำพิพากษาเดิมที่ให้นับโทษต่อไม่ได้โดยศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาถึงที่สุดและมีการออกหมายตามคำพิพากษาแล้ว ซึ่งจำเลยก็ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวอีกโดยศาลชั้นต้นก็ได้เรียกตัวจำเลยมาสอบถามซึ่งแถลงว่าหมายที่ให้นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากคดีอาญาหมิ่นประมาทอีกสำนวนนั้นไม่ถูกต้อง ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นตรวจสอบรายงานกระบวนพิจารณาใหม่อีกครั้งปรากฎว่าในคดีหมิ่นประมาทนั้นศาลชั้นต้นไม่ได้ให้นับโทษจำคุกแต่ศาลอุทธรณ์มีการย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าให้นับโทษจำเลยต่อซึ่งไม่ถูกต้องจนเมื่อผลคดีถึงที่สุดก็เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกถึงที่สุดโดยผิดหลงด้วยการให้นับโทษต่อ

            ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องและเป็นธรรมกับตัวจำเลยโดยให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่เมื่อวันที่ 12 ก.พ.61ไม่ต้องนับโทษนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญาหมิ่นประมาทอีกสำนวน ซึ่งระบุวันนับโทษตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.60 โดยไม่หักวันต้องขังให้จำเลย ทั้งนี้โจทก์เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่นับโทษจำคุกนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญาหมิ่นประมาทอีกสำนวนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้หมายเรียกจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ต้องนับโทษคดีอาญาต่อ ขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของนายอภิสิทธิ์แล้ว ให้ยกคำร้อง โจทก์จึงได้ยื่นอุทธรณ์

 

 ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำคุก จตุพร หมิ่นอภิสิทธิ์ใหม่

          โดยวันนี้ "นายจตุพร" ก็ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ พร้อมกับทนายความ

            ขณะที่ "ศาลอุทธรณ์"ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า แม้การออกหมายจำคุกถึงที่สุดจะเป็นเรื่องการบังคับโทษตามคำพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจดำเนินการก็ตาม แต่การออกหมายบังคับตามโทษนั้นก็จะต้องให้ถูกต้องกับโทษที่จำเลยควรได้รับตามความเป็นจริงด้วย ซึ่งการที่ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.60 ให้นับโทษจำคุกนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญา หมายเลขแดง อ.4907/2555 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นการออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วและการที่ศาลชั้นต้นได้ยกเลิกหมายจำคุกดังกล่าวแล้วออกหมายบังคับโทษใหม่ เมื่อวันที่ 12 ก.พ.61 โดยอ้างว่าหมายจำคุกเดิมที่ศาลชั้นต้นออกนั้นทำโดยผิดหลง เนื่องจากศาลชั้นต้นที่เคยมีคำพิพากษาคดีนั้น ไม่ได้ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญา หมายเลขแดง อ.4907/2555 แต่ศาลอุทธรณ์ย่อคำพิพากษาว่าศาลชั้นต้นให้นับโทษคดีต่อกันกับอีกสำนวนหนึ่งนั้น ความจริงศาลชั้นต้น (คดีหมายเลขดำ อ.4176/2552) พิพากษาให้นับโทษจำคุกนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดง อ.4907/2555 ตรงตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาย่ออยู่แล้วไม่ได้เป็นข้อผิดพลาด ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นเคยยกเลิกหมายจำคุกถึงที่สุดฉบับเก่านั้นน่าจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนผิดหลงของศาลชั้นต้นเอง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

            ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษา ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4907/2555 และให้ยกเลิกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลย ลงวันที่ 19 ก.พ.2561 กับให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป (ที่ให้นับโทษจำคุกนายจตุพร คดีหมิ่นประมาทหมายเลขดำ อ.4176/2552 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4907/2555)

ภายหลังฟังศาลอุทธรณ์ ทนายความของนายจตุพร ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด จำนวน 200,000 บาทขอปล่อยชั่วคราวระหว่างที่จะฎีกาคำสั่งให้นับโทษใหม่ดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 16.00 น.เศษ ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว "นายจตุพร" ระหว่างจะฎีกาคำสั่ง โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆ  

นายจตุพร กล่าวว่า ตนได้รับการปล่อยตัว ในวันที่ 4 ส.ค.2561 นับจากตอนนั้นถึงเวลานี้ได้รับอิสรภาพมาแล้ว 1 ปี 8 วัน โดยรับโทษไปแล้ว 1 ปี กับ 15 วันจากโทษจำคุก 2 สำนวนรวม 1 ปี กับอีก 12 เดือน  ขอขอบคุณศาลที่เมตตาให้ประกันตัว โดยนัดให้มารายตัววันที่ 12 ต.ค.2562 ส่วนการต่อสู้คดีก็จะต้องปรึกษาทนายความอีกครั้ง เพื่อฎีกาให้วินิจฉัยว่าที่ตนเองได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ นั้นเป็นการปล่อยตัวตามคำสั่งศาลอาญาซึ่งไม่เคยมีกรณีนี้

 "บรรดาผู้รู้กฎหมายทั่วไปก็ตั้งข้อสังเกตุว่ากรณีเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่ก็ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และไม่เคยหลบหนี กรณีนี้ตนมีใบริสุทธิ์แสดงว่าได้รับโทษครบถ้วนแล้ว ซึ่งคำสั่งออกโดยศาลอาญาและเป็นกระบวนการยุติธรรมปกติ"

ด้าน "นายวิญญัติ ชาติมนตรี" ทนายความของนายจตุพร กล่าวอธิบายว่า กรณีดังกล่าวนี้ทนาความของนายอภิสิทธิ์ โจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์ประเด็นการออกหมายจำคุกถึงที่สุดว่าที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับโทษโดยไม่ได้นับโทษต่อนั้นไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วได้มีคำพิพากษากลับว่า ที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งเพิกถอนหมายจำคุกถึงที่สุดนั้นมิชอบ จึงเท่ากับว่าหากเป็นเช่นนั้นนายจตุพร จะต้องติดคุกเพิ่มขึ้นอีก 11 - 12 เดือน ซึ่งจำเลยเห็นว่าอาจขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ลงโทษนายจตุพรคดีหมิ่นประมาทสำนวนที่ 2 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้นับโทษนายจตุพรต่อจากคดีแรก เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องหาข้อยุติ ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับให้ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะตนก็เข้าใจว่าอำนาจในการออกหมายจำคุกเป็นอำนาจของศาลชั้นต้น เรื่องนี้จึงควรขึ้นสู่ศาลฎีกาให้มีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานว่าการออกหมายบังคับตามคำพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์มองว่าเป็นการผิดหลงของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

 "คดีวันนี้ผมเห็นว่าศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ลงโทษจำคุกก็จริงแต่ไม่ให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้นับโทษต่อได้หรือไม่" นายวิญญัติกล่าว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ