ศาลยุติธรรมเซ็นMOUอัยการสูงสุดยื่นจัดการมรดกผ่านพนักงานอัยการ สคช.-บังคับคดีจังหวัดโดยไม่จำกัดเขตอำนาจอัยการสูงสุด ครึ่งปี 62 ยื่นขอจัดการมรดกกว่า1.3หมื่นเรื่อง
10 ก.ย.62 - ที่ห้องประชุมใหญ่ชั้น 12 อาคารศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 16.00 น. "นายสราวุธ เบญจกุล" เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และ "นายเข็มชัย ชุติวงศ์" อัยการสูงสุด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิและให้การช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนในคดีจัดการมรดกระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรม กับสำนักงานอัยการสูงสุด โดยการพัฒนาระบบการพิจารณาคดีแพ่ง ส่วนคดีจัดการมรดก ทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนในการยื่นคำร้องจัดตั้งผู้จัดการมรดก ตลอดจนเข้าถึงกระบวนการพิจารณาไต่สวนคดีมรดก
นายสราวุธ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนมีการสับเปลี่ยนย้ายถิ่นฐานไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้เกิดความยุ่งยาก รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่ประชาชนในการยื่นคำร้องขอจัดการมรดกต่อศาลที่เจ้าของมรดกมีภูมิลำเนาขณะถึงแก่ความตายหรือที่ตั้งทรัพย์ ซึ่งเดิมทีการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกสามารถยื่นได้ 3 วิธี คือ 1.ตัวความยื่นคำร้องด้วยตนเอง โดยตัวความจะต้องเดินทางไปยังศาลที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตายหรือทรัพย์ที่ตั้ง ทั้งในวันที่ยื่นคำร้องและวันที่นัดไต่สวน 2.ตัวความแต่งตั้งทนายความเป็นผู้ดำเนินการยื่นคำร้อง โดยจะให้ทนายความเป็นผู้ยื่นคำร้องแทน ณ ศาลที่มีเขตอำนาจรับคำร้อง 3.ตัวความให้พนักงานอัยการเป็นผู้ยื่นคำร้อง โดยตัวความยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการที่มีเขตอำนาจ จากนั้นพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องไปยังศาลที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตายหรือที่ตั้งทรัพย์ และเมื่อถึงวันนัดไต่สวนตัวความจะต้องเดินทางไปยังศาลที่มีเขตอำนาจรับคำร้องนั้น
ซึ่งการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกทั้ง 3 วิธี ไม่ว่าตัวความจะยื่นด้วยวิธีใดก็ตาม ในวันนัดไต่สวนตัวความจะต้องเดินทางมายังศาลที่เจ้าของมรดกถึงแก่ความตายหรือที่ตั้งทรัพย์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายในการจ้างทนาย ดังนั้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ "สำนักงานศาลยุติธรรม" และ "สำนักงานอัยการสูงสุด" จึงร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมมือฉบับนี้ขึ้น ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัยมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของประธานศาลฎีกาเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการคดีและเพื่อให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมรวดเร็วขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง เพื่อมุ่งสู่การบริการในลักษณะระบบศาลดิจิทัล (D-Court) ในปี พ.ศ.2563 ต่อไป
"เราจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีขึ้นในอนาคต มาอำนวยความสะดวกในการยื่นคำร้องและการไต่สวนคำร้องขอจัดการมรดก โดยทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่ต้องเดินทางไปยังภูมิลำเนาเจ้าของมรดกขณะถึงแก่ความตายหรือที่ตั้งทรัพย์ แต่สามารถยื่นคำร้องขอจัดการมรดกผ่านพนักงานอัยการ ณ สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) และบังคับคดีจังหวัด ได้ทุกพื้นที่โดยไม่จำกัดเรื่องเขตอำนาจ และหากมีการร้องขอใช้การไต่สวนผ่านระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใด ศาลที่เกี่ยวข้องแต่ละพื้นที่จะดำเนินการอำนวยความสะดวกให้ตามคำร้องขอ โดยทางตัวความไม่ต้องเดินทางมายังศาล"
ขณะที่ "นายเข็มชัย" อัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีจัดการมรดกมีเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีงบประมาณ 2560 มีประชาชนยื่นร้องต่ออัยการขอจัดการมรดกทั่วประเทศ 11,129 เรื่อง ปีงบประมาณ 2561 มี 14,792 เรื่อง และปีงบประมาณ 2562 ถึงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีการดำเนินการแล้ว 13,882 เรื่อง
"เราพยายามอำนวยความสะดวกมากที่สุด ในการดำเนินงานส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการในพื้นที่ที่มีอำนาจเป็นผู้ดำเนินการ และการขอไต่สวนคดีมรดกผ่านระบบ Video Conference ทำให้ผู้ร้องไม่ต้องเดินทางมาศาลเสียค่าใช้จ่าย ยินดีอย่างยิ่งในความร่วมมือกับสำนักงานศาลยุติธรรม หวังว่าความร่วมมือจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้นและรวดเร็ว"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง