ข่าว

ประวิตร ขวางวีซ่าจีน-อินเดีย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

.

 

 

          “ประวิตร” ค้าน “ฟรีวีซ่า” นักท่องเที่ยวจีน-อินเดีย ห่วงเรื่องความปลอดภัย ด้าน “อุตตม-พิพัฒน์” เดินหน้าชง ครม. อนุมัติวันนี้ ชี้เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะ “จีดีพี” ไตรมาส 2 โต 2.3% ต่ำสุดรอบ 19 ไตรมาส ด้าน “วิรไท” มั่นใจเศรษฐกิจไทยไม่เผชิญภาวะถดถอย ย้ำแค่ชะลอตัว ยอมรับไม่สบายใจเงินบาทยังแข็งค่า

 

 

 

 

          สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2562 ขยายตัว 2.3% เป็นระดับต่ำสุดรอบ 19 ไตรมาส และเป็นที่มาซึ่งทำให้รัฐบาลต้องออก “แพ็คเกจ” กระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 3.1 แสนล้านบาท โดยหนึ่งในแพ็คเกจนี้มีข้อเสนอเรื่องยกเว้น หรือ “ฟรีวีซ่า” ให้กับคนจีนและอินเดียด้วย อย่างไรก็ตามข้อเสนอเรื่องฟรีวีซ่านี้ มีผู้ท้วงติงจากหลายฝ่าย

 

          ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ว่า เรื่องนี้ตนไม่เห็นด้วย และกระทรวงการต่างประเทศ คงคัดค้านอยู่แล้ว ไม่น่าจะทำได้ เพราะทั้งจีนและอินเดีย พวกเขามีประชากรกว่า 1,200 ล้านคน การจะมาเดินเข้าประเทศง่ายๆ ตนก็ไม่เห็นด้วย แต่เรื่องนี้ยังไม่รับข้อมูลแต่อย่างใด


          นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ถือเป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมาตรการนี้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.เศรษฐกิจ ซึ่งมอบให้ไปปรึกษาหารือกับกระทรวงต่างประเทศและฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่ามาตรการนี้จะเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันนี้ (20 ส.ค.) ส่วนจะมีผู้ไม่เห็นด้วยหรือไม่คงต้องขอไปหารือในที่ประชุม ครม.


          “ถ้าที่ประชุมไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร และถ้าไม่มีมาตรการนี้ จะไม่มีผลต่อการกระตุ้นภาพรวม เพราะการกระตุ้นนั้น เน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก”


          ทั้งนี้ กระทรวงการคลังพร้อมเสนอมาตรการกระตุ้นและดูแลเศรษฐกิจวงเงินรวม 3.1 แสนล้านบาท เข้าที่ประชุมครม.วันนี้ หลังครม.เศรษฐกิจเห็นชอบมาตรการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยหลังจากมาตรการผ่านครม.แล้ว บางมาตรการจะเริ่มได้ภายในสิ้นเดือนนี้




          “พิพัฒน์”ลุยเว้นวีซ่าจีน-อินเดีย
          นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยืนยันว่า จะเดินหน้าเสนอมาตรการฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ในที่ประชุมครม.วันนี้ แม้ว่าจะมีการคัดค้านเพราะเกรงว่ากระทบต่อประเด็นความมั่นคง


          “ผมมองว่าเรื่องประเด็นความมั่นคง ไม่มีอะไรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ แม้ว่าจะมีมาตรการฟรีวีซ่าหรือไม่ให้ฟรีวีซ่าก็ตาม ก็ยังเห็นการจับกุมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แฝงตัวมาทำสิ่งไม่ดีหรือก่อคดีในประเทศไทยอยู่"


          ชงขยายเวลาปิดสถานบริการเป็นตี4
          นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในที่ประชุม ครม.วันที่ 20 ส.ค.นี้ จะขอหารือปากเปล่ากับทางพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับข้อเสนอให้ขยายเวลาปิดสถานบริการต่างๆ ในยามค่ำคืน ไปปิดที่เวลา 04.00 น. ได้หรือไม่ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวยามค่ำคืน (ไนท์ไลฟ์) ตั้งเป้าดึงเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวมากขึ้นเพราะจากผลการศึกษาของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เบื้องต้นคาดว่าหากมีการขยายเวลาปิดสถานบริการยามค่ำคืนออกไปถึง 04.00 น. จะช่วยเพิ่มค่าใช้จ่ายกินดื่มเที่ยวเฉลี่ยได้อีกไม่น้อยกว่า 25% จากค่าใช้จ่ายเดิม


          โดยทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปศึกษาว่าควรอนุญาตให้สถานบริการย่านใดเปิดทำการล่วงเวลาถึง 04.00 น.ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าทุกย่านและทุกจังหวัดจะเปิดได้หมด


          ‘วิรไท’มั่นใจศก.ไทยไม่ถดถอย
          นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2562 แม้จะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ ธปท. ได้คาดการณ์เอาไว้ แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบไตรมาสต่อไตรมาสยังขยายตัว ไม่ได้หดตัว โดยรวมจึงถือว่าไม่ได้แย่ 


          “ภาวะเศรษฐกิจโลก ที่จะเข้ามากระทบต่อประเทศ และทำให้เกิดวิกฤติการเงินอันนี้ไม่มีเลย เพราะวันนี้สถาบันการเงินไทยเราเข้มแข็งมาก แม้เอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้น แต่แบงก์ส่วนใหญ่มีส่วนทุนสำรองค่อนข้างมาก และการที่หลายคนคาดการณ์ไปว่าจะเกิดวิกฤติการรอบใหม่ ซึ่งจะแรงกว่าปี 2540 ที่เราเจอ แต่ผมไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เพราะว่าโครงสร้างหลายด้านเข้มแข็งขึ้นมาก เราแค่มีปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เพราะถูกกระทบจากปัจจัยภายนอก และเชื่อว่าการที่เห็นเศรษฐกิจโตระดับ3% บวกลบก็ถือว่าไม่ได้เลวร้าย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราจะรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าได้อย่างไรมากกว่า”


          ธปท.จ่อปรับ‘จีดีพี’ปีนี้ลงอีก
          นายวิรไท กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของ ธปท. ทำให้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือน ก.ย.นี้ ที่ประชุมคงปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยลง จากปัจจุบันประเมินว่าในปีนี้จะขยายตัวได้ 3.3%


          ส่วนมาตรการการคลังที่ออกมา เชื่อว่า มีส่วนช่วยเศรษฐกิจได้ และหากดูทุกมาตาการที่ออกมา ถือว่าออกมาเพื่อช่วยเยียวยา กลุ่มฐานราก เกษตรกร และผลกระทบจากภัยแล้งซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ส่วนระยะข้างหน้าจะเห็นนโยบายการเงินออกมาดูแลเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น จำเป็นต้องดูข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก


          อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบัน มีความท้าทายเพิ่มขึ้นในหลายมิติ ดังนั้นนโยบายการเงินต้องมีการผสมผสานที่หลากหลาย นอกจากนโยบายด้านดอกเบี้ยแล้ว ด้านการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ก็ต้องมีนโยบายแมคโครพลูเด้นเชียล และต้องมีมาตรการกำกับสถาบันการเงินรายแห่ง ที่เป็นไมโครพลูเด้นเชียลออกมาดูแลด้วย


          ยอมรับไม่สบายใจบาทแข็ง
          อีกด้านที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และประมาทไม่ได้ คือ ภาวะความไม่แน่นอน และความผันผวนที่เกิดขึ้น ผนวกกับสภาพคล่องทั่วโลกอยู่ในระดับสูงมาก จากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เช่นเดียวกับไทยที่ปรับดอกเบี้ยต่ำลงไปอีก แม้ก่อนหน้านี้จะต่ำมากอยู่แล้ว ดังนั้นเชื่อว่าความผันผวนและความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูง และระยะข้างหน้าจะผันผวนขึ้นต่อ จะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน และราคาสินทรัพย์ต่างๆเพิ่มขึ้นได้ 


          “หากดูค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เราไม่สบายใจ เพราะเราเห็นว่าบางช่วงเวลา เงินที่เข้ามาในบอนด์ระยะสั้น เราถึงต้องออกมาตรการลดการถือครองบาท สองเราบอกชัดเจนว่า ไม่พึงประสงค์ หากใครจะเข้ามาเก็งกำไร มาสร้างความเดือนร้อนกับเศรษฐกิจ ดังนั้นก็จะมีมาตรการต่างๆที่ธปท.พร้อมจะออกมาใช้ และสุดท้ายคือเราอยู่ในช่วงเปิดเสรีให้คนไทยนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศได้มากขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเงินเข้าและเงินออกนอกประเทศมากขึ้น”


          สำหรับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนที่ผ่านมา ธปท.ยอมรับว่า มีการเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ค่าเงินแข็งค่าเร็วและผันผวนเกินไป ทำให้ทุนสำรองของไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.5 แสนล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน จากก่อนหน้าที่อยู่เพียง 2.4 แสนล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่การดูแลธปท.จำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงตามมาเรื่องการค้าระหว่างประเทศตามมา 


          ‘ทีเอ็มบี’หั่นจีดีพีเหลือ2.7%
          นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า ศูนย์วิจัยได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 2.7% จากเดิม 3% เหตุตัวเลขเศรษฐกิจครึ่งปีแรกแย่กว่าคาด ทำให้แรงส่งต่อไปยังในช่วงที่เหลือมีข้อจำกัด มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐช่วยพยุงการบริโภคในประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกสงครามการค้าถึงทางตัน จึงยากที่จะเห็นส่งออกกลับมาในปีนี้ ลุ้นปีหน้าเศรษฐกิจกลับมาโตได้ ขณะที่ส่งออกไทยทรุด คาดหดตัว 2.7% เหตุชัพพลายเชนโลกได้รับผลกระทบมากกว่าคาด


          ธอส.ลุยปล่อยกู้ดอกต่ำปลุกเศรษฐกิจ
          นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)เปิดเผยว่า ธอส.เตรียมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งคาดว่า จะเริ่มปล่อยได้ราวต้นเดือนก.ย.นี้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่จะจัดเก็บนั้น ขณะนี้ จะต้องหารือกับกระทรวงการคลังว่า จะคิดในอัตราเท่าใด 


          โดยหากไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร อัตราดอกเบี้ยที่คิดจะอยู่ที่ประมาณ 2.99-3.00% ต่อปี แต่หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะปรับเหลือ 2.55-2.75% ต่อปี ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องคำนวณบวกผลกระทบเข้าไปในตัวชี้วัดการดำเนินงานของธนาคารด้วย ทั้งนี้ คาดว่า จะหารือกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ