ข่าว

พบขยะพลาสติกในกระเพาะอาหารวาฬหัวทุยเสียชีวิตแถบเกาะลันตา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

แถลงการณ์ของกรีนพีซ กรณีวาฬหัวทุยเสียชีวิตกลางทะเลแถบเกาะลันตา จ.กระบี่

 

               จากกรณีที่วาฬหัวทุย (Spermwhale, Physeter macrocephalus) เพศผู้ วัยรุ่น ขนาดลำตัวยาว 11.33 เมตร [1] ลอยเสียชีวิตอยู่กลางทะเลระหว่างเกาะหม้อกับเกาะห้า จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) แถลงถึงสาเหตุการเสียชีวิต ว่า

 

 

 

               เกิดจากการป่วยตามธรรมชาติจากระบบหายใจล้มเหลวร่วมกับการติดเชื้อทั่วร่างกาย ภายในกระเพาะอาหารพบขยะเป็นขวดพลาสติก 3 ใบ และถ้วยพลาสติก 1 ใบ นั้น พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าขยะพลาสติกจะไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิตของวาฬหัวทุยในครั้งนี้ แต่ตราบเท่าที่สังคมมนุษย์ยังปล่อยให้มีขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งเพิ่มปริมาณมากขึ้นในสิ่งแวดล้อมทางทะเล มลพิษพลาสติกจะยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามของความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตและสัตว์ทะเลหายากอยู่ต่อไป”

               รายงานสถานภาพสัตว์ทะเลหายาก พ.ศ. 2560 [2] ระบุว่า จากการช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายากกลุ่มโลมาและวาฬที่เกยตื้นระหว่างปี พ.ศ. 2549 - 2559 รวมระยะเวลา 11 ปี โลมาและวาฬส่วนใหญ่เสียชีวิตมาก่อนแล้ว ความสำเร็จในการช่วยเหลือโลมาและวาฬยังมีค่อนข้างต่ำ เนื่องจากจากโลมาและวาฬที่เกยตื้นส่วนใหญ่มีอาการป่วยที่ค่อนข้างรุนแรง รายงานยังระบุอีกว่า ขยะเป็นสาเหตุการเกยตื้นซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ค่าเฉลี่ยของเต่าทะเลและโลมาที่กลืนขยะและเข้าไปสะสมอยู่ในระบบทางเดินอาหารมีร้อยละ 2 - 3 แต่เมื่อรวมการเกยตื้นที่มีขยะทะเลเกี่ยวพันภายนอกโดยเฉพาะขยะจำพวกอวนซึ่งพบมากในเต่าทะเล สัดส่วนการเกยตื้นจากสาเหตุขยะจะสูงถึงร้อยละ 20 - 40

 

 

 

               ข้อมูลปริมาณขยะทะเลในประเทศไทยประจำปี 2561 ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระบุ ถุงพลาสติก กล่องโฟม และบรรจุภัณฑ์พลาสติกคือขยะทะเล 3 อันดับแรกซึ่งพบมากที่สุดและมีจำนวนรวมกันมากกว่าหนึ่งแสนชิ้น [3] ขยะพลาสติกในทะเลซึ่งสะท้อน “วิกฤตแห่งความสะดวกสบาย” ของสังคมมนุษย์เหล่านี้คือมลพิษพลาสติกที่เป็นภัยคุกคามหลักของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลซึ่งเป็นระบบสนับสนุนค้ำจุนชีวิตของมนุษย์เอง

               พิชามญชุ์ รักรอด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่มีห้วงเวลาใดที่เร่งด่วนมากไปกว่านี้อีกแล้วหากเราต้องต่อกรวิกฤตมลพิษพลาสติก รัฐบาลจะต้องดำเนินนโยบาย มาตรการและแผนงานโดยเฉพาะการยกเลิกพลาสติกใช้ครั้งเดียว 7 ชนิด ให้เป็นรูปธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น ออกประกาศเก็บค่าธรรมเนียมถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทั่วประเทศโดยไม่เลือกปฏิบัติเพื่อตั้งกองทุนที่ทำงานเป็นอิสระเพื่อฟื้นฟูทะเลไทย และเน้นการใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนเพื่อเปิดกว้างให้กับกระบวนการมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากสาธารณะชน (public support) แทนการรณรงค์สร้างจิตสำนึกอย่างฉาบฉวย ในขณะเดียวกัน บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายเร็ว (Fast Moving Consumer Goods) ต้องมีนโยบายและคำมั่นที่ชัดเจนในการลงมือปฏิบัติเพื่อยกเลิกพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

 

 

 

หมายเหตุ 

[1] วาฬหัวทุย (Spermwhale) เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลไทย (Cetaceans of Thailand) ที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ที่พบในทะเลเขตน้ำลึกบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต สตูล  ในขณะที่การศึกษาสถานภาพและการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรโลมาและวาฬในธรรมชาติยังจำกัดเฉพาะในกลุ่มประชากรจำถิ่นใกล้ฝั่ง

[2] https://bit.ly/2NG4n5E 

[3] http://tcc.dmcr.go.th/thaicoastalcleanup/report

 

 

 

พบขยะพลาสติกในกระเพาะอาหารวาฬหัวทุยเสียชีวิตแถบเกาะลันตา

 

 

 

ทีมสัตวแพทย์ในชุดเครื่องมือป้องกัน ยืนพูดคุยถึงแผนการผ่าพิสูจน์ซากของวาฬหัวทุยบนชายหาด © ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย

 

 

 

-------------------------

(ที่มา : greenpeace.org)

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ