เวทีมีเดีย ฟอรัม เสนอไอเดีย สื่อทุกแขนงรวมตัว รับมือสงครามข่าวสาร ช่วงเลือกตั้ง ห่วง นักการเมือง ปั่นกระแสข่าวปล่อย-ชวนเชื่อ ปชช.ให้เลือกตั้งมากกว่านำเสนอนโยบาย
สมาคมนักข่าวฯ - 18 ธันวาคม 2561 - เวทีมีเดีย ฟอรัม เสนอไอเดีย สื่อทุกแขนงรวมตัว รับมือสงครามข่าวสาร ช่วงเลือกตั้ง ห่วง นักการเมือง ปั่นกระแสข่าวปล่อย-ชวนเชื่อ ปชช.ให้เลือกตั้ง มากกว่านำเสนอนโยบาย-ประเด็นสาธารณะที่สร้างประโยชน์ ด้าน "กกต." เผยคุยกับ เฟซบุ๊ค-ไลน์ ขอความร่วมมือควบคุมข่าวช่วงเลือกตั้ง ส่วน "สุภิญญา" จี้ กกต. เปิดข้อตกลง หวั่นรัฐแทรกแซง-ข้อตกลงไม่เป็นธรรม
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดงานเสวนา Media Forum ครั้งที่6 เรื่องบทบาทสื่อและการรับมือสงคราวข่าวสารช่วงการเลือกตั้ง โดยมีนักวิชาการร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ทั้งนี้นักวิชาการได้แสดงความเห็นต่อประเด็นการสื่อข่าวทางออนไลน์ ที่จะกลายเป็นสถานการณ์ที่ทำให้มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งรวมถึงการตัดสินใจต่อการเลือกบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ทางการเมือง การบริหารประเทศ ซึ่งผู้ร่วมเวทีมีความกังวลต่อการสร้างข่าวสารที่เป็นเท็จ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อและจูงใจให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งที่ผิดพลาด
ด้านนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ ให้ความเห็นด้วยว่าการเลือกตั้งปี 2562 ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เสรี เพราะ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมการเลือกตั้ง ทั้งการเขียนรัฐธรรมนูญ รวมถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ, บังคับใช้กติกา รวมถึงควบคุมกลไกของหน่วยงานที่กำกับการเลือกตั้ง และประเด็นสำคัญคือ คสช. ส่งรัฐมนตรีในรัฐบาล จำนวน 4 คนจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อเตรียมลงเล่นการเมือง ดังนั้นในบทบาทของสื่อมวลชนต่อการเลือกตั้งเพื่อให้การจัดเลือกตั้งมีความเป็นธรรม อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากยังมีคำสั่ง คสช. ที่กำกับบทบาทด้านการสื่อข้อมูลและนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน
โดย นายเอกพันธ์ุ ปิณฑวณิช ผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กรณีที่สังคมได้รับข้อมูลถูกต้องและแม่นยำผ่านสังคมออนไลน์ ขึ้นอยู่กับกระบวนการและรูปแบบได้มาซึ่งเนื้อหา ทั้งนี้ตนมีความกังวลต่อการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อกระแสหลัก ผ่านช่องทางออนไลน์ ในเรื่องของข้อเท็จจริงมากกว่าการนำเสนอข้อมูลที่เป็นกลางหรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาพบว่าสังคมโตพอที่จะแยกแยะว่าประเด็นใดที่จะสร้างความรุนแรงหรือสร้างความเกลียดชังในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่
ส่วนนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า สถานการณ์ก่อนเลือกตั้งบุคคลทั่วไปมองใน 2 ประเด็น คือ 1.ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะเปลี่ยนระบบอำนาจนิยมไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะจากโครงสร้างที่กำหนด ทั้ง แผนยุทธศาสตร์ชาติ, รัฐธรรมนูญ คือ การเปลี่ยนผ่าน ที่มีอำนาจนิยมหรือระบบเผด็จการควบคุมการเมือง และ 2.สถานการณ์ก่อนเลือกตั้งประชาชนต้องการรับรู้ว่า 4-5 ปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ รวมถึง ความเหลื่อมล้ำทางด้านสังคม รวมถึงกติกาทางการเมือง มีรายละเอียดและการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวต้องนำไปสู่การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่มีความรับผิดชอบ เปิดพื้นท่ีสาธารณะเพื่อประโยชน์ของชาติ มากกว่าประโยชน์ของตัวบุคคล หรือการสร้างความเกลียดชัง ปลุกระดม สร้างความเป็นฝักฝ่าย ขณะเดียวกันต้องสร้างการมีส่วนร่วมอย่างเสรี รวมถึงสะท้อนไปยัง คสช. ว่า การควบคุมเสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพของประชาชนไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อการเปลี่ยนผ่านการปกครอง
ขณะที่นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) เชื่อว่าในช่วงเลือกตั้งจะมีสงครามข่าวสาร และพบกรณีปล่อยข่าว, สร้างข่าวลวง หรือ ข่าวปล่อย ซึ่งมีลักษณะโยนหินถามทาง ดังนั้นสื่อมวลชนต้องรวมตัวเพื่อร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการติดตามข้อมูลที่นำเสนอ แม้จะมีกระบวนการที่นำไปสู่การนำเสนอที่ช้า แต่ต้องทำเพื่อให้เกิดข้อมูลที่แม่นยำ นอกจากนั้นสื่อมวลชนต้องร่วมมือสะกัดกั้นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น การออกแบบบัตรเลือกตั้ง, การแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งจากกรณีที่จะมีกลุ่มคนประท้วงที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นต้น
"ในการเลือกตั้งของต่างประเทศ พบข้อมูลว่าจะมีการสาดโคลนกันจำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยเชื่อว่าจะมี ทั้งการเผาบ้านเผาเมือง, คดี 6ศพในวัดปทุมวนาราม ดังนั้นหากเป็นไปได้สื่อมวลชนไม่ควรให้ความสนใจมากนัก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการขุดความขัดแย้งขึ้นมากอีก ดังนั้นสิ่งที่ต้องการเห็น คือการเจาะข้อมูลด้านนโยบายมากกว่าการนำเสนอตัวบุคคล การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ขณะที่กระบวนการการเลือกตั้ง สื่อมวลชนต้องแม่นยำในรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง" นางสมศรี กล่าว
ส่วนนายนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร The Standard กล่าวว่าตนกังวลในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งจะพบการปล่อยข่าวลวง และใช้กลุ่มของสังคมออนไลน์ปั่นกระแสให้ขึ้นติดอันดับคำหรือความนิยมทางโลกออนไลน์ ทั้งนี้มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่พบว่าได้รับความร่วมมือจากรัสเซียร่วมกันสร้างกระแสข่าวพร้อมกัน จนทำให้ผู้ติดตามโลกออนไลน์เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไดรับความนิยม โดยไม่ได้รับการตรวจสอบหรือข้อเท็จจริงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือเป็นการปั่นกระแส ดังนั้นในการเลือกตั้งของประเทศไทย ตนมองว่า กกต. ต้องมีระบบตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
ขณะที่นายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการบัณฑิต เซ็นเตอร์ (Kapook.com) เสนอต่อเวทีเสวนาด้วยว่า ให้เกิดการรวมตัวขอสื่อมวลชน ที่สื่อข่าวทางออนไลน์ ผ่านการติดแฮชแท็ค หรือ รูปภาพที่มีคอนเซ็ปเดียวกัน เพื่อให้เกิดกระแสและพลังในการรับมือช่วงเลือกตั้ง
ขณะที่ตัวแทนจาก กกต. ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี กกต. กล่าวว่าระเบียบการเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแม็พ ที่กำหนดไว้ ซึ่งนักข่าวยังฟังคำสั่ง ดังนั้น กกต.ต้องทำตามเช่นกัน โดยหลังจากนี้กติกาเกี่ยวกับการเลือกตั้งจะทยอยออกมา และในวันที่ 19 ธันวาคม จะมีเวทีเพื่อรับฟังความเห็นจากนักการเมืองและสื่อมวลชนเพื่อให้กติกาออกมาดีที่สุด นอกจากนั้นกกต. พร้อมทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ผลจะเป็นไปตามต้องการหรือไม่เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม ขณะที่การสร้างข้อมูลเท็จ หรือ โฆษณาชวนเชื่อนั้น กกต. มีระบบตรวจสอบภายใต้กฎหมายปกติ โดยการควบคุมนั้นจะมีระเบียบว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งนี้การจับกุมและดำเนินคดีอาจทำได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ กกต. ได้คุยกับหน่วยงานเอกชน ทั้งฝ่ายเฟซบุ๊ค และ ไลน์ ยินดีให้ความร่วมมือกับ กกต.ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น เช่น ลบข้อความตามที่แจ้ง
ขณะที่นายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ให้มุมมองด้วยว่าโซเชียลมีเดียคือสนามรบหลักของการเลือกตั้งในปี 2562 แต่สิ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ชัยชนะเลือกตั้งได้ คือ การเชื่อมโยงสนามรบเสมือนกับพื้นที่ทางกายภาพได้ ทั้งนี้การใช้โซเชียลมีเดียไม่เป็นภาระของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะสังคมออนไลน์นั้นสร้างการสื่อสารที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันได้ ซึ่งต่างจากเดิมที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้รับสารทางเดียวเท่านั้น
"ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีมาก และเข้าถึงได้ง่าย แต่ปัญหาคือคนไม่ต้องการรู้เพียงแค่ข้อมูลที่เข้าถึงได้เท่านั้น เพราะต้องการมุมวิเคราะห์จากข้อสงสัยที่เกิดขึ้น เช่น รัฐธรรมนูญ มาตรา 88 ว่าด้วยการเสนอชื่อบัญชีนายกฯ ที่พรรคการเมืองสนับสนุน เป็นข้อมูลที่หาได้จากอินเตอร์เน็ต แต่สิ่งที่ประชาชนอยากรู้มากกว่านั้นคือ ทำไมต้องเขียนกลไกลักษณะดังกล่าว และจะนำไปสู่อะไรหรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่สื่อมวลชนควรจะทำคือการรวมตัวเพื่อรับมือกับสงครามข่าวสารในช่วงเลือกตั้ง ที่มีลักษณะคล้ายของการประทุของระเบิดที่ถูกกดทับ" นายสติธร กล่าว
ขณะที่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่าสงครามข่าวสารเป็นการต่อสู้และกำหนดวาระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ขณะที่การรวมตัวเพื่อสร้างอำนาจต่อรองจากประชาชนรวมถึงกลุ่มต่างๆ ขาดหายไป ดังนั้นการกระจายอำนาจของสื่อสาร กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้รัฐมีความเข้มแข็งมากขึ้น ดังนั้นการสร้างกลไก ที่สร้างบรรยากาศเสรีภาพ, นำเสนอข้อเท็จจริงตามมาตรฐานจรรยาบรรณ รวมถึงการสร้างความเป็นธรรมในช่วงของการเลือกตั้ง ผ่านการร่วมประชาสังคมที่ตรวจสอบข้อมูล ทำให้สังคมเดินหน้าได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงประเด็นการตั้งกลไกที่รวมตัว ที่อาจถูกมองว่าเป็นกลไกที่ไม่เป็นกลาง หรือทำหน้าที่เพื่อตัดสินมากกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริง
"ตามที่ กกต. บอกว่าได้คุยกับไลน์ และเฟซบุ๊คถึงข้อตกลงเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่ไม่เปิดเผยนั้นทำให้กลายเป็นข้อสังสัยว่าหน่วยงานเอกชนดังกล่าวจะมีข้อตกลงอะไรบางอย่างกับรัฐ เพื่อเซ็นเซอร์ หรือกำหนดว่าสิ่งที่ผิดหรือถูกด้วยมาตรการของรัฐหรือไม่ ดังนั้นควรจะเปิดเผยให้สังคมรับรู้ด้วย เพื่อให้กระบวนการของช่องทางออนไลน์เกิดประโยชน์ ไม่ใช่การให้ภาครัฐมีบทบาทเหนือองค์กรเอกชน ที่จะเปิดช่องให้คนที่สามารถเข้าถึงผู้ให้บริการดังกล่าวได้ อาจเกิดความได้เปรียบหรือได้รับประโยชน์ฝ่ายเดียว ดังนั้นสิ่งที่ต้องยกระดับในระยะเร่งด่วน คือ การทำให้เกิดความอิสระ, ความยุติธรรมและนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง" น.ส.สุภิญญา กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง