ข่าว

เปิดคำพิพากษา คุกตลอดชีวิต "แม่หมอนิ่ม"จ้างฆ่าเอ็กซ์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับจากยกฟ้องให้จำคุกตลอดชีวิต "แม่หมอ" ส่วน "หมอนิ่ม" รอดศาลยกประโยชน์ความสงสัย ด้าน "แม่เอ็กซ์" เปิดใจสงสารแม่หมอนิ่มอายุเยอะแล้วต้องโทษคดี


            ที่ห้องพิจารณา 203 ศาลจังหวัดมีนบุรี ถ.สีหบุรานุกิจ วันที่ 7 ส.ค.61 เวลา 10.50 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีจ้างวานฆ่าเอ็กซ์ จักกฤษณ์ อดีตนักยิงปืนทีมชาติ หมายเลขดำ อ.383/2557 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม อายุ 72 ปี บิดาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 36 ปี อาชีพรับจ้าง ซึ่งเป็นมือปืนยิง , น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 75 ปี มารดาของพญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม , พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม ภู่เจริญยศ อายุ 41 ปี อดีตภรรยาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ , นายสันติ หรืออี๊ด ทองเสม อายุ 31ปี อาชีพทนายความ และนายธวัชชัย หรืออ้น เพชรโชติ อายุ 36 ปี อาชีพรับจ้าง ผู้ขี่รถจักรยานยนต์พามือปืนก่อเหตุ เป็นจำเลยที่ 1 – 5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริม ให้ฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 , มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ ตามมาตรา 371 และพ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 ประกอบมาตรา 83,84 ขณะที่นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม อายุ71 ปี มารดาของเอ็กซ์ ผู้ตาย ก็ยื่นคำร้องขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งจากการสูญเสียบุตรชายที่คอยเลี้ยงดูครอบครัวด้วยเป็นเงิน 4.4 ล้านบาท

 

       เปิดคำพิพากษา คุกตลอดชีวิต "แม่หมอนิ่ม"จ้างฆ่าเอ็กซ์

           โดยคดีนี้ อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 31 มี.ค.57 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างเดือน ส.ค. - วันที่ 19 ต.ค.56 จำเลยที่ 2 - 4 ได้ร่วมกันจ้างวานใช้ นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1 กับพวกที่อยู่ระหว่างหลบหนี ให้ฆ่านายจักรกฤษณ์หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1กับพวกได้ใช้อาวุธปืนออโตเมติก ยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตกาเรฟ ขนาด 7.62 ม.ม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัด ถูกที่หน้าอก หัวใจ ปอด จนถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของพวกจำเลย ก่อนหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมจำเลยได้ ชั้นสอบสวนนายจิรศักดิ์ และน.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 1-2 ให้การภาคเสธ ส่วน พญ.นิธิวดี อดีตภรรยานายจักรกฤษณ์ และนายสันติ ทนายความ จำเลยที่ 3 - 4 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี เหตุเกิดที่แขวง – เขตมีนบุรี กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน

           คดีสืบพยานเสร็จสิ้น เมื่อเดือน ก.ย.59 ที่ผ่านมา ซึ่งตลอดเวลาการพิจารณาคดี "นายจิรศักดิ์ หรือจี" จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นมือปืน และ "นายธวัชชัย หรืออ้น" จำเลยที่ 5 ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ (รถ จยย.) พามือปืนก่อเหตุ ไม่ได้ประกันตัว ส่วน น.ส.สุรางค์ มารดาของหมอนิ่ม , พญ.นิธิวดีหรือหมอนิ่ม และนายสันติหรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 2-4 ได้ประกันตัวไปคนละ 500,000 บาท

 

        เปิดคำพิพากษา คุกตลอดชีวิต "แม่หมอนิ่ม"จ้างฆ่าเอ็กซ์

           ขณะที่ศาลจังหวัดมีนบุรี ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.59 เห็นว่า หลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำเบิกความของพยาน รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิด และข้อมูลการใช้โทรศัพท์เชื่อมโยงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า "นายจิรศักดิ์ มือปืน" จำเลยที่ 1, "พญ.นิธิวดีหรือหมอนิ่ม" จำเลยที่3 , "นายสันติหรือทนายอี๊ด" จำเลยที่ 4 และ "นายธวัชชัย" จำเลยที่ 5 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้อง
           โดยให้ลงโทษประหารชีวิต "นายจิรศักดิ์" จำเลยที่ 1 และ "นายธวัชชัย" จำเลยที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ม.289 (4) และเพราะทางนำสืบกับคำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษ 1 ใน 3 ให้จำคุกตลอดชีวิตทั้งสองไว้
           ส่วน"พญ.นิธิวดีหรือหมอนิ่ม" จำเลยที่ 3 และ "นายสันติหรือทนายอี๊ด" จำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้ฆ่าโดยไตร่ตรองฯ โดยให้จำเลยที่ 1, 3, 4,5 ร่วมกันชดใช้เงิน 2.5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันยื่นคำร้องเดือน ก.ย.57 ให้นายมานพ โจทก์ร่วมและนางสมคิด ผู้ร้อง บิดามารดาของผู้ตายด้วย ส่วน "น.ส.สุรางค์" มารดาหมอนิ่ม จำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง

           ซึ่งระหว่างอุทธรณ์ "หมอนิ่ม" จำเลยที่ 3 และ "นายสันติหรือทนายอี๊ด" จำเลยที่ 4 ได้ประกันตัวคนละ 1 ล้านบาท ส่วนมือปืน จำเลยที่ 1 และ คนขี่ จยย. จำเลยที่ 5 ถูกคุมขังในเรือนจำ

           ต่อมาอัยการโจทก์ , นายมานพ บิดาของผู้ตายที่เป็นโจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1,3,4,5, ยื่นอุทธรณ์ 

           โดยวันนี้ "หมอนิ่ม" และ "น.ส.สุรางค์" มารดา เดินทางมาพร้อมฟังคำพิพากษา กับ "นายชำนาญ ชาดิษฐ์" ทนายความและทีมทนาย ส่วน "นายสันติหรือทนายอี๊ด" จำเลยที่ 4 ไม่มาศาลและไม่มีทนายความมาแจ้งเหตุ ซึ่งนัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา "ทนายอี๊ด"ก็ไม่มาศาลมาก่อนแล้วศาลได้ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ให้ตามตัวมาฟังคำตัดสิน พร้อมสั่งริบเงินสดประกันตัว 1 ล้านบาทไว้แล้ว

           ด้านฝั่งผู้ตาย ก็มี "นางบุญคิด" มารดาของเอ็กซ์ ในฐานะผู้ร้องขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ก็เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วยกับเพื่อนของเอ็กซ์ และคนใกล้ชิด ส่วนนายมานพ บิดาเอ็กซ์ ไม่มา

 

        เปิดคำพิพากษา คุกตลอดชีวิต "แม่หมอนิ่ม"จ้างฆ่าเอ็กซ์

           ขณะที่วันนี้ "ศาลจังหวัดมีนบุรี" ได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ความหนา 68  หน้า เกือบ 2 ชั่วโมงซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อเวลา 12.30 น. โดย "ศาลอุทธรณ์" ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าตามอุทธรณ์ มือปืน จำเลยที่ 1 , ทนายอี๊ด คนติดต่อมือปืน จำเลยที่ 4 และคนขี่รถ จยย.พามือปืนไปยิง จำเลยที่ 5 กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่นั้น ทางนำสืบฝ่ายโจทก์ มีตำรวจซึ่งสืบสวนคดีและพนักงานสอบสวน เป็นพยานเบิกความว่า การสืบสวนคดีนี้ครั้งแรกตั้งประเด็นสาเหตุการฆ่า 4 ประเด็น คือ การซื้อขายพระเครื่อง , ความขัดแย้งในครอบครัว , ความขัดแย้งในสมาคมยิงปืน และปัญหายาเสพติด กระทั่งรวบรวมหลักฐาน ประกอบข้อมูลการโทรศัพท์ของผู้ตายและกลุ่มจำเลยแล้ว รวมทั้งหมายเลขที่ไม่ปรากฏชื่อคนจดทะเบียนแต่เปิดใช้งานก่อนเกิดเหตุ 1 วันที่สุดท้ายพบว่าตรงกับหมายเลขโทรศัพท์ที่มือปืน จำเลยที่ 1 ใช้ยืนยันในการติดต่อบัญชีธนาคาร โดยข้อมูลโทรศัพท์เหล่านั้นพบว่าวันเกิดเหตุ (ช่วง ต.ค.56) มีการติดต่อกันอย่างผิดปกติและมีตำแหน่งการใช้งานเชื่อมโยงกับที่กลุ่มจำเลยอยู่ และลักษณะการใช้งานโทรศัพท์ที่สัญญาณเคลื่อนที่ใกล้บ้านพักผู้ตาย ประกอบกับหลังเกิดเหตุแล้วประมาณเดือน พ.ย.56 เชิญตัวจำเลยที่ 1 มาสืบสวนสอบสวน ก็ให้ถ้อยคำรับว่าเดือน ก.ย.56 ทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ว่าจ้างร่วมกับจำเลยที่ 5 คนละ 100,000 บาท ให้ไปฆ่าผู้ตาย นอกจากนี้ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางคนร้ายที่ไปก่อเหตุและหลบหนี มาให้จำเลยที่ 1 ดู ก็ยอมรับว่าเป็นคนร้าย อีกทั้งยังมีถ้อยคำของ น.ส.วรพรรณภูรี มนตรีอารีกุล (เจ๊แหม่ม) ที่พบว่าเป็นผู้ใช้โทรศัพท์ทำธุรกรรมกับธนาคาร ก็รับว่าเป็นลูกค้าคลินิกของจำเลยที่ 3 มานานกว่า 7 ปี ซึ่งจำเลยก็เคยปรึกษาปัญหาถูกผู้ตายทำร้ายแล้วให้หามือปืนช่วยยิงผู้ตาย ซึ่ง น.ส.วรพรรณภูรี รู้จักกับทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ผ่านญาติตัวเองที่ช่วยให้ติดตามทวงหนี้ ดังนั้นจึงพาจำเลยที่ 4 ไปพบจำเลยที่ 3 ที่โรงพยาบาลขณะรักษาตัวโดยจำเลยที่ 4 รับเงินไป 600,000 บาท และก่อนเกิดเหตุ น.ส.วรพรรณภูรี ใช้มือถือติดต่อกับจำเลยที่ 3 สอบถามความเคลื่อนไหวของผู้ตายก่อนแจ้งให้จำเลยที่ 4 ทราบ และเมื่อตำรวจได้จับกุม น.ส.วรพรรณภูรี พร้อมแจ้งข้อหาและได้สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลโทรศัพท์ น.ส.วรพรรณภูรี ก็พบว่ามีโทรศัพท์ที่ (น.ส.สุรางค์ แม่หมอนิ่ม) จำเลยที่ 2 ใช้โทรติดต่อด้วย และ น.ส.วรพรรณภูรี ยอมรับว่าจำเลยที่ 2  ร่วมจ้างวานฆ่า ตกลงค่าจ้าง 1.2 ล้าน จ่ายแล้ว 600,000 บาท ที่เหลือ 600,000 บาท ก็ไปรับที่บ้านของจำเลยที่ 2 ต่อมาจึงออกหมายจับจำเลยที่เกี่ยวข้อง ส่วนจำเลยที่ 5 (คนขี่รถ จยย.พามือปืนไปยิง) ให้การรับสารภาพว่า 2 เดือนก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 4 (ทนายอี๊ด) ซึ่งเป็นเพื่อนกันจ้างให้ร่วมกับจำเลยที่ 1 (มือปืน) ไปฆ่าผู้ตายโดยได้ค่าจ้างคนละ 200,000 บาท โดยตำรวจ พยานโจทก์ ยืนยันว่า จำเลยรับสารภาพโดยสมัครใจ ไม่ถูกบังคับข่มขู่

            เปิดคำพิพากษา คุกตลอดชีวิต "แม่หมอนิ่ม"จ้างฆ่าเอ็กซ์

           ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า จากพยานและบันทึกคำให้การมีรายละเอียดถึงความสัมพันธ์ของจำเลยที่ 1,4,5 การว่างจ้าง การเฝ้าติดตามดูรถปอร์เช่ที่ผู้ตายขับ ตลอดถึงการว่าจ้างกับการใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 4 (ทนายอี๊ด) จัดไว้ให้ใช้ยิง จนถึงเส้นทางการหลบหนีนั้น สอดคล้องไปทางเดียวกันจึงยากที่จะแต่งเรื่องส่วนตัว ขณะที่เหตุการณ์มีรายละเอียดเหตุการณ์ยาวนานตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.56 – 19 ต.ค.56 วันเกิดเหตุ ส่วนคำให้การของกลุ่มจำเลยในชั้นสอบสวนก็ไม่ใช่การซัดทอดให้ตัวเองพ้นผิดเพียงแต่ให้การถึงผู้ร่วมกระทำผิด และยังมี น.ส.วรพรรณภูรี (เจ๊แหม่ม) ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะไม่ใช่ตัวการสำคัญแต่เป็นผู้ร่วมรู้เห็นพอที่จะเบิกความโดยกันไว้เป็นพยานโจทก์ และแม้ภายหลัง น.ส.วรพรรณภูรี พยานจะบอกว่าเคยให้การผิดจากข้อเท็จจริง เรื่องของคนที่จ่ายค่าจ้างที่โรงพยาบาลนั้น ก็เป็นเพียงการแตกต่างระหว่างจำเลยที่ 2 (แม่หมอนิ่ม) กับ จำเลยที่ 3 (หมอนิ่ม) แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเหตุใดจะต้องซัดทอดปรักปรำจำเลยที่ 2 ดังนั้นที่อ้างว่าจำเลยที่ 1,4,5 โอนเงินให้กันเพราะติดหนี้ตามสัญญาเงินกู้ ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ เท่านั้น พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่า มีการโอนเงินระหว่างจำเลยที่จ้างให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 คนละ 200,000 บาท เพื่อใช้ปืนของจำเลยที่ 4 (ทนายอี๊ด) จัดหา เพื่อร่วมกันฆ่าผู้ตาย ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตมือปืน จำเลยที่ 1 และคนขี่รถ จยย.พามือปืนไปยิง จำเลยที่ 5 กับลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว ทนายอี๊ด คนติดต่อมือปืน จำเลยที่ 4 นั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย

           คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ "หมอนิ่ม" จำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้างหรือไม่ ซึ่งโจทก์มี น.ส.วรพรรณภูรี (เจ๊แหม่ม) ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะไม่ใช่ตัวการสำคัญแต่เป็นผู้ร่วมรู้เห็นพอที่จะเบิกความโดยกันไว้เป็นพยานเพียงปากเดียวที่เบิกความและให้การยืนยันว่าจำเลยที่ 3 (หมอนิ่ม) มาปรึกษาปัญหาที่ถูกผู้ตายทำร้ายและพากลุ่มจำเลยไปพบจำเลยที่ 3 ขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ระบุว่าแท้งบุตร แต่พยานโจทก์ปากนายสุนทร บุญญะทวีวัฒน์ ที่เป็นเพื่อนร่วมกิจการเช่าพระเครื่องกับผู้ตาย เบิกความว่า หลังผู้ตายได้ประกันคดีก็มาพักกับพยานตลอด ทำให้เชื่อว่าช่วงเดือน ส.ค.56 ก่อนที่จำเลยที่ 3 เข้ารักษาตัวไม่มีเหตุการณ์ที่ผู้ตายทำร้ายและเหตุที่แท้งลูกก็เกิดจากความเครียดไม่ใช่ถูกผู้ตายทำร้าย ขณะที่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์อีกว่า แม้จะถูกทำร้ายแต่จำเลยที่ 3 ยังมีความผูกพันกับผู้ตายโดยพาลูกไปเยี่ยมผู้ตายระหว่างถูกควบคุมตัว รวมทั้งการไม่คัดค้านประกันตัว รวมถึงความต้องการกลับมาอยู่กันอีก ซึ่งจากสืบสวนยังพบว่าช่วง 7,9,18 ต.ค.56 จำเลยที่ 3 กับผู้ตายยังพบกัน ทำให้เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ยังมีความรักในผู้ตายอยู่ ดังนั้นการที่อ้างถึงนัดพบกลุ่มจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 3 นั้นจึงเป็นเรื่องผิดปกติทั้งที่ทั้งสองไม่เคยพบกันมาก่อนแต่กลับพูดตกลงกันจ่ายค่าจ้างกันทันทีที่เงินจำนวนมากถึง 600,000 บาท ซึ่งผิดปกติที่คนจะมีเงินสดติดตัวมากและพร้อมชำระ ประกอบเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ในวันเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 3 ยังพาลูกไปพบผู้ตายกินอาหารเที่ยงนอกบ้าน หากจำเลยที่ 3 วางแผนฆ่าก็คงไม่เสี่ยงที่จะพาลูกนั่งรถของผู้ตายที่เป็นเป้าหมาย นอกจากนี้ตอนเย็นที่นัดหมายกันกับผู้ตายไปพบที่บ้าน ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ห้ามไว้ พยานที่กล่าวหาจำเลยในส่วนนี้จึงยังมีข้อสงสัยหลายประการ สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยศาลไม่ได้สั่งขังจำเลยระหว่างฎีกาด้วยแต่อย่างใด

           คดีมีประเด็นวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของอัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมอีกว่า "น.ส.สุรางค์ มารดาหมอนิ่ม" จำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้องด้วยหรือไม่ ซึ่งทางนำสืบของโจทก์มีตำรวจหญิง และพนักงานสอบสวน กับทนายความที่ร่วมสอบสวน เบิกความยืนยันว่า น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพ กระทำโดยเปิดเผยในสถานที่ราชการต่อหน้าพนักงานสอบสวน และประธานสภาทนายความประจำจังหวัดมีนบุรีที่ตำรวจประสานให้ร่วมฟังการสอบสวน รวมทั้งมีสื่อมวลชนและนางปวีณา อดีต รมว.พม.ขณะนั้นที่จำเลยที่ 2-3 ให้ความเคารพไว้วางใจตั้งแต่เหตุการณ์ที่ช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาครอบครัว ขณะที่การสอบสวนจำเลยที่ 2 มีทนายความติดตามมาด้วย 2-3 คนแต่จำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ให้ทนายความนั้นร่วมฟังการสอบสวน คงยินยอมประธานสภาทนายความประจำจังหวัดมีนบุรี ที่ สน.มีนบุรี ติดต่อไว้เข้าร่วมการสอบสวน ขณะที่บรรทุกคำให้การของจำเลยที่ 2 ระบุถึงพฤติกรรมของผู้ตายที่กระทำต่อจำเลยที่ 3 และบุตรสาวของผู้ตายเองในลักษณะรุนแรงจนเกิดบาลแผลหลายครั้งตั้งแต่อยู่กันฉันสามีภรรยามาตั้งแต่ปี 2550 โดยผู้ตายก็หึงหวงจำเลยที่ 3 และมีอารมณ์ร้อน ไม่เคารพเกรงใจจำเลยที่ 2 จนเมื่อเดือน ก.ค.56 ก่อนเกิดเหตุเมื่อจำเลยที่ 2 กลับจากต่างจังหวัดก็ทราบจากจำเลยที่ 3 ว่าให้หลบออกจากบ้านเพราะเกรงว่าผู้ตายจะมาทำร้ายเนื่องจากจำเลยที่ 3 แจ้งดำเนินคดีกับผู้ตายเพราะผู้ตายจะนำผู้หญิงมาอยู่ด้วยกันที่บ้านแต่จำเลยที่ 3 ไม่ยินยอม ผู้ตายจึงทำร้ายจำเลยที่ 3จนแท้งลูกในเวลาต่อมา ทำให้จำเลยที่ 2 โกรธจึงตัดสินใจติดต่อ น.ส.วรพรรณภูรี (เจ๊แหม่ม)จะจัดการผู้ตาย โดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ซึ่งครั้งแรก น.ส.วรพรรณภูรี (เจ๊แหม่ม) บอก 600,000 บาท และทีหลังอีก 600,000 บาท จำเลยที่ 2 ตกลง โดยครั้งแรกรับเงินที่โรงพยาบาล ครั้งที่ 2 ที่บ้านพัก ซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้ตายมาคุกเข่าขอโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็เพียงแสดงอาการรับรู้เพราะทราบว่าผู้ตายเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ "ศาลอุทธรณ์" เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 มีรายละเอียดเหตุการณ์ ความสัมพันธ์บุคคลต่างๆ เป็นเรื่องที่รู้เห็นภายในครอบครัวเท่านั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จที่แต่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพยานที่เป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 เบิกความว่าเหตุที่จำเลยที่ 2 ไม่อยากให้จำเลยที่ 3 กับผู้ตายคืนดีกันเพราะเกรงว่าผู้ตายจะทำร้ายจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวโดยสอดคล้องกับคำเบิกความของสาวใช้ชาวพม่าด้วย จึงทำให้เห็นว่าสาเหตุเกิดจากความไม่พอใจและโกรธแค้นระหว่างจำเลยที่ 2 ที่มีต่อผู้ตายที่ทำร้ายจำเลยที่ 3  และหลานของตนเองมาโดยตลอด ที่เป็นเหตุจูงใจต้องการเอาชีวิตผู้ตาย จึงพิพากษาว่า น.ส.สุรางค์ มารดาหมอนิ่ม จำเลยที่ 2 มีความฐานใช้จ้างวานให้ฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นควรพิพากษากลับเป็นให้ประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม คำให้การของ น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ตลอดชีวิต 

           โดย "ศาลอุทธรณ์" ยังพิพากษาให้มือปืน , มารดาหมอนิ่ม , ทนายอี๊ด และคนขี่รถ จยย.พามือปืนไปยิง จำเลยที่ 1,2,4,5 ร่วมกันชดใช้เงิน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่เดือน ก.ย.57ที่ยื่นคำร้องคดีนี้ ให้พ่อแม่ของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ด้วย
           อย่างไรก็ดีสำหรับ "ทนายอี๊ด" จำเลยที่ 4 ที่ไม่มาฟังคำพิพากษาและก็ไม่มีทนายมาศาลแจ้งเหตุขัดข้อง ศาลจังหวัดมีนบุรีเชื่อว่ามีพฤติการณ์หลบหนี โดยวันนี้ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลยที่ 4 แล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนลงโทษจำเลย ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงให้ออกหมายจับทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 เพื่อติดตามตัวมารับโทษต่อไปซึ่งมีอายุความในการติดตามตัวภายใน 20 ปี

                เปิดคำพิพากษา คุกตลอดชีวิต "แม่หมอนิ่ม"จ้างฆ่าเอ็กซ์

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างฟังคำพิพากษา หมอนิ่ม มีอาการเสียใจ และเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งใช้มือปาดน้ำตาและใช้กระดาษทิชชู่ คอยซับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตลอดเวลา

             ขณะที่ "น.ส.สุรางค์" มารดาหมอนิ่ม ปัจจุบันอายุ 75 ปีแล้ว ก็ยืนฟังคำพิพากษาร่วม 2 ชั่วโมงด้วยสีหน้าเรียบเฉยข้างๆบุตรสาวและญาติคนใกล้ชิด เช่นเดียวกับ "นางบุญคิด" มารดาของเอ็กซ์ วัย 71 ปี ก็ยืนฟังคำพิพากษาตลอดเวลาที่ยาวนาน

           อย่างไรก็ดี เมื่อเวลา 14.00 น.เศษ "นายชำนาญ ชาดิษฐ์" ทนายความ ได้นำหลักทรัพย์เป็นเงินสดและหลักทรัพย์อื่น รวมประมาณ 1 ล้านบาท ยื่นขอประกันตัว "น.ส.สุรางค์" เพื่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา 

           กระทั่งเวลา 15.30 น.ศาลจังหวัดมีนบุรี ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว "น.ส.สุรางค์" จำเลยที่ 2 ระหว่างฎีกาคดีนี้ โดยศาลตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล 

           ขณะที่ "นายชำนาญ ชาดิษฐ์" ทนายความพ.ญ.นิธิวดีหรือหมอนิ่ม ก็ได้เปิดเผยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องหมอนิ่ม โดยสรุปได้ใจความว่าจะกลับมาคืนดีกัน ไม่ได้ถึงขนาดที่ต้องเลิกกันและยังมีความสงสัยในบางเรื่องบางประเด็นอยู่เกี่ยวกับความรักความผูกพันและมองว่าถ้าจ้างวานไม่น่าต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องนั่งรถด้วยกัน โดยในวันนี้หมอนิ่มก็มีทั้งดีใจที่ศาลยกฟ้องและก็ยังเสียใจที่พิพากษาลงโทษแม่

           ขั้นตอนขณะนี้ก็ได้เตรียมหลักทรัพย์ประกันตัว น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 แม่หมอนิ่ม ประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของแม่หมอนิ่มจะต้องฎีกาอยู่แล้ว เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษ แต่ในส่วนของหมอนิ่มเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องขึ้นอยู่อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจะฎีกาคำพิพากษาหรือไม่ เพราะเราเป็นฝ่ายชนะคดี
           เมื่อถามว่าก่อนมาฟังคำพิพากษาหมอนิ่มมีความกังวลใจหรือไม่ นายชำนาญกล่าวว่า เป็นธรรมดาที่จะกังวลใจอยู่บ้าง เพราะไม่ทราบว่าผลคำพิพากษาจะออกมาเป็นเช่นไร แต่หมอนิ่มก็มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

           ด้าน "นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม" มารดาของ เอ็กซ์วัย 71 ปี ได้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ไม่คิดว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาลแต่ก็ดีกับหลาน อย่างไรก็ตามหลานคนโตยังนอนกับคุณยายติดคุณยายมาก ส่วนหลานคนเล็กจะนอนกับแม่เขาคือหมอนิ่ม
           โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา แม่หมอนิ่ม (น.ส.สุรางค์) ก็ได้โทรนัดและให้ไปเจอหลานทั้ง 2 คน หลังจากไม่ได้เจอมานาน 1 ปี เมื่อเจอก็พาไปกินสุกี้ส่วนหลานคนเล็กก็ไปไดร์ฟกอล์ฟ
           นางบุญคิด กล่าวถึงความรู้สึกอีกว่า ส่วนตัวก็รู้สึกสงสาร น.ส.สุรางค์ เพราะอายุเยอะแล้วและมีโรคประจำตัวด้วย
           เมื่อถามว่าจะยื่นฎีกาหรือไม่
นางบุญคิด กล่าวว่า ยังไม่ทราบเพราะวันนี้ทนายความก็ไม่ได้มา จึงยังไม่ได้คุย อย่างไรก็ดีส่วนตัวได้อโหสิกรรมทุกอย่าง ส่วนศาลมีคำตัดสินอย่างไร ตนก็รับได้
           ทั้งนี้นางบุญคิด ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาตนไม่ค่อยได้คุยอะไรกับหมอนิ่ม แต่เมื่อช่วงเช้าวันนี้เจอกัน หมอนิ่มก็เข้ามาทักทายสวัสดี ตนก็รับไหว้ ตนก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอหลาน ซึ่งหลานกำลังฝึกเล่นเปียโนก็เก่งน่ารักต้องยอมรับว่าหมอนิ่มเลี้ยงลูกดีเก่งและทุ่มเทมาก อย่างไรก็ตาม ตนก็ได้คุยกันกับคุณยาย (น.ส.สุรางค์) และทราบว่าก่อนนัดฟังคำพิพากษานิ้วต้องดามสปริงเหล็ก เพราะระหว่างอยู่ที่บ้าน ได้ไปสอยสาเกแล้วลูกสาเกตกใส่นิ้วโดยไม่ทันระวังตัว ทำให้นิ้วได้รับบาดเจ็บ

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ