ข่าว

อุทธรณ์คุกอ่วม"อดีตผู้บริหารบีบีซี"ยักยอกปล่อยกู้สินเชื่อ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลอุทธรณ์ จำคุก 20 ปี "เอกชัย-วันชัย" อดีต ผช.กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี  ส่วนเอกชน 7 รายร่วมผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ เจอคุก 2-20 ปี ยังถูกขังลุ้นประกันชั้นฎีกา

 

          29 มี.ค.61 - ผู้สื่อข่าวรายงาน วานนี้ (28 มี.ค.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดียักยอกทรัพย์บีบีซี ความยาว 500 หน้า โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้จำคุกอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี และบริษัทเอกชน รวม 10 ราย ตั้งแต่ 2 ปี - 20 ปี ซึ่งร่วมกับ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี (เสียชีวิตแล้ว) กระทำผิดในการขอสินเชื่อและอนุมัติโดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบจนทำให้ บีบีซี เสียหาย

          ส่วน นายเกริกเกียรติ อดีต กก.ผจก.ใหญ่ จำเลยที่ 1 นั้นเสียชีวิตในวัย 63 ปีไปเมื่อวันที่ 20 ต.ค.55 ศาลจึงได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
          โดยคดีนี้ พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 3 กับ บีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเกริกเกียรติ อดีต กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี และอดีตผู้บริหาร บีบีซี กับบริษัทเอกชน รวม 31 ราย ในความผิดฐานร่วมกันยักยอก และความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 307, 308, 311 ประกอบมาตรา 315

          โดยศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษาให้จำคุก นายเอกชัย อธิคมนันทะ อดีต ผช.นายเกริกเกียรติ กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี จำเลยที่ 2 , นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อดีต ผอ.สำนักบริหารเงินและวิเทศทนกิจ และอดีต ผช.กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี จำเลยที่ 3 , นายพลพจน์ ตินมุสิก จำเลยที่ 9 , นายฉัตรชัย บุญรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 28 , นายยุทธฉัตร บุญรัตน์ จำเลยที่ 29 และนายดิเรก ศรีพิพัฒน์ จำเลยที่ 31 เป็นเวลา 20 ปี , นายสุนทร เรืองจรัสเสถียร จำเลยที่ 10 ให้จำคุก 5 ปี นายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ อดีต กก.ผจก. บริษัทอเมริกัน สแตนดาร์ด แอ๊พเพรซิลวา จำกัด จำเลยที่ 12 จำคุก 15 ปี

          ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิสกุล อดีตผู้บริหารอาวุโส สำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ บีบีซี จำเลยที่ 16 จำคุก 2 ปี 16 เดือน , น.ส.จันทนา สุขุมานนท์ ที่ปรึกษาปูนอินทรี-บริษัท ปูนซิเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 18 จำคุก 2 ปี 16 เดือน และนายศักรพันธ์ เอี่ยมเอกดุลย์ จำเลยที่ 19 เป็นเวลา 2 ปี 16 เดือน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยขณะนี้ จำเลยทั้ง 11 คนนั้น ได้ถูกคุมขังในเรือนจำ ระหว่างรอฟังคำสั่งขอประกันตัวสู้คดีในชั้นฎีกา ซึ่งหลังจากเมื่อวาน (28 มี.ค.) ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำคุกแล้ว จำเลยทั้ง 11 คน ก็ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นควรส่งคำร้องขอประกันตัวของจำเลยทั้ง 11  คน ให้ศาลฎีกาพิจารณาและเป็นผู้สั่งต่อไปว่าจะอนุญาตให้ประกันหรือไม่

          ขณะที่การอ่านคำพิพากษา 500 หน้าคดีบีบีซี เมื่อวานนี้ (28 มี.ค.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ใช้เวลาอ่านนานจนถึงช่วงเย็น
          ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับคดียักยอกทรัพย์บีบีซีนั้นที่ผ่านมา ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาแล้ว 4 สำนวน คือ

          1.คดีหมายเลขดำที่10764/2542 ที่ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ อดีต กก.ผจก.ใหญ่บีบี และนายเอกชัย อธิคมนันทะ อดีต ผช.กก.ผจก.ใหญ่ ซึ่งนายเกริกเกียรติ เสียชีวิตระหว่างพิจารณาคดี ส่วนนายเอกชัย จำเลยที่ 2 ศาลให้จำคุกรวม 204 กระทงๆ ละ 5 ปีรวมทั้งสิ้น 1,020 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกความผิดตามกฎหมายแล้วให้จำคุกนายเอกชัย จำเลยที่ 2 ไว้  20 ปีและให้ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,854,201,794.75 บาท แก่ธนาคารฯ บีบีซี. 

          2.คดีหมายเลขดำ ด.7254/2543 ที่ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ อดีต กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี , นายจิตตสร ปราโมช ณ อยุธยา อดีตรอง ผอ.สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่ , ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิศกุล อดีตผู้บริหารอาวุโส สำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ และ ม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสินหรือ ดิศกุล อดีตรองผอ.ฝ่ายการตลาด บีบีซี เป็นจำเลยที่ 1-4 กรณีเมื่อเดือน พ.ค. 38 – ก.ค.39 จำเลย ร่วมกับนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี วางแผนอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซี จำนวน 260 ล้านหุ้น โดยไม่ตรวจสอบประวัติฐานะของบริษัทผู้เข้ามาจองซื้อหุ้น ซึ่งขายให้กับบริษัท ออลบิ ยูเอสเอ อิงค์ และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เครดิต โบรคเกอร์เรจ โฮลดิ้ง อิงค์ ที่มีนายราเกซเป็นผู้รับมอบอำนาจการซื้อขายหุ้น

          โดยมีการนำหุ้น 90 ล้านหุ้นคิดเป็นเงินจำนวน 23,170,731.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 570 ล้านบาทไปขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อนำเงินมาชำระค่าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน 38 ล้านหุ้นของบีบีซี และยังได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ธนาคารเนชั่นแนลเครดิตแบงก์ รวมทั้งสินเชื่อให้กับบริษัท อาร์คาร์เดีย แคปปิตอล พาร์ทเนอรส์ อิงค์ และบริษัท เอเซซ คอร์ปรเรท โฮลดิ้ง แอนด์ ไฟแนนซ์ อิงค์ อีกรายละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนายราเกซเป็นผู้ลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ทั้งสองบริษัทนำมาวางประกันขอสินเชื่อ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืน ให้จำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 6 ปี 8 เดือนและปรับคนละ 666,666.66 บาท ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ม.308 ที่เป็นบทหนักสุด และให้จำเลยที่ 2-4 ร่วมจำเลยที่ 1 ชดใช้เงิน 85,733,882.04 ดอลลาร์สหรัฐ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการยึดทรัพย์สิน

          3.คดีหมายเลขดำ ด.6173/2542 ที่ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ อดีต กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี , ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำและ น.ส.เยาวลักษณ์ นิตย์ธีรานนท์ อดีตรองผอ.ฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ เป็นจำเลยที่ 1-3 กรณีเมื่อเดือน พ.ค.38 จำเลยทั้งสามร่วมกับนายราเกซ อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี ลงนามทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ธนบัตรระหว่างบีบีซี กับบริษัท ดิเวลลอปเมนท์ ไฟแนนซ์ แอนด์ อินเวสเมนท์ จำกัด ทำให้บีบีซี เสียหายมูลค่า 1,228,896,438 บาท ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนให้จำคุกคนละ 2 กระทงรวม 20 ปี และให้ปรับคนละ 1,157,244,186.28 บาท จำเลยทั้งสามบทหนักสุดฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุจริตต่อหน้าที่ พร้อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซีจำนวน 589,622,043.04 บาท

          4.คดียักยอกทรัพย์บีบีซี คดีหมายเลขดำ 10765/2542 ที่พนักงานอัยการฝ่ายเศรษฐกิจและทรัพยากร เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเกริกเกียรติ อดีต กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี , นายเอกชัย  อดีตผู้ช่วย กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี , นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อดีต ผอ.สำนักบริหารเงินและวานิชธนกิจ บีบีซี , บริษัทอเมริกัน สแตนดาร์ด ฯ และนายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ กก.ผจก.บริษัทอเมริกันฯ เป็นจำเลยที่ 1- 5 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีเมื่อวันที่ 6 ต.ค.37 - 4 มี.ค.39 นายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 ร่วมกับนายราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษานายเกริกเกียรติด้านการให้สินเชื่อ อนุมัติสินเชื่อจำนวน 1,000 ล้านบาทให้แก่บริษัท ฟอร์ ฟิฟ ออเรจน์ จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง 10,000 บาท

          โดยนำโฉนดที่ดิน จ.สระแก้ว ที่มีเสาไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านใช้ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ จำนวน 19 แปลงเนื้อที่ 462 ไร่มาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการขอสินเชื่อ ซึ่งจำเลยที่ 1 อนุมัติสินเชื่อโดยใช้บัตรผ่านรายการอนุมัติสินเชื่อหมายเลข 0109 J ปล่อยเงินกู้นั้น ทำให้บีบีซีเสียหาย 1,567,274,175 บาท โดยคดีนี้ศาลฎีกา พิพากษายืนยกฟ้อง นายเอกชัย อดีต ผช.กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี จำเลยที่ 2 และ นายวันชัย อดีต ผอ.สำนักบริหารเงิน และวานิชกิจธนกิจ บีบีซี จำเลยที่ 3 เนื่องจากเห็นว่าช่วงเกิดเหตุนายเอกชัยได้คืนบัตรผ่านรายการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จึงไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรอนุมัติสินเชื่อ

          ส่วนนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 , บ.อเมริกัน สแตนดาร์ดฯ จำเลยที่ 4 , นายไพโรจน์ กก.ผจก.บ.อเมริกันสแตนดาร์ดฯ จำเลยที่ 5
          ศาลชั้นต้น พิพากษาว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 313 อันเป็นบทหนักสุด โดยลงโทษจำคุก นายเกริกเกียรติ รวม 13 กระทงเป็นเวลา 130 ปีและปรับ 3,134,548,351.74 บาท แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงที่จำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 10 ปีแล้วตามกฎหมายให้จำคุกไว้ทั้งสิ้นเป็นเวลา 20 ปี และให้ปรับ บ.อเมริกัน สแตนดาร์ดฯ จำเลยที่ 4 เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท กับให้จำคุก 10 ปีพร้อมปรับ 2,000 ล้านบาท นายไพโรจน์ กก.ผจก.บ.อเมริกันสแตนดาร์ดฯ จำเลยที่ 5 และยังให้จำเลยที่ 1,4,5 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซีรวม 1,567,274,175 บาท เนื่องจากเห็นว่า การอนุมัติเงินกู้โดยใช้บัตรรายการดังกล่าวที่รับมาจากนายราเกซ โดยไม่ตรวจสอบความสามารถในการใช้เงินของผู้กู้ทั้งที่ ธปท.มีหนังสือแจ้งเตือนมาแล้ว.

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ