19 ก.พ. วันแห่งการอสัญกรรมของอดีตผู้นำจีน ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ รัฐบุรุษนักปฏิรูปแห่งชนชาติจีน
วันนี้ (19 ก.พ.) เมื่อ 21 ปีก่อน เป็นวันแห่งการอสัญกรรมของอดีตผู้นำจีน “เติ้งเสี่ยวผิง” เจ้าของวลี “ #แมวสีอะไรก็แล้วแต่ขอให้จับหนูได้ก็พอ ” โอกาสนี้เราจึงหยิบวลีทองบางส่วนของเติ้งเสี่ยวผิงมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน ดูข่าวต้นฉบับ
“การปฏิรูปคือการปฏิวัติครั้งที่สองของจีน การปฏิรูปคือขั้นตอนที่เราต้องก้าวผ่านเพื่อไปสู่การพัฒนากำลังการผลิตของประเทศ” นี่คือส่วนหนึ่งของข้อความที่เติ้งเสี่ยวผิงกล่าวในปี 1985 ระหว่างพบปะพูดคุยกับนายมูกาเบ ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของซิมบับเว
“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือกำลังการผลิตอันดับที่หนึ่ง” เขากล่าวในการประชุมวิทยาศาสตร์ระดับชาติ เมื่อปี 1988 ตอนนั้นเขาตระหนักดีว่านี่คือกุญแจสำคัญในการพัฒนาชาติ และเป็นสิ่งที่ย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วสืบเนื่องมาจากการพัฒนาของยุคสมัย
“การจะสามารถเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้นั้น ต้องรู้จักเรียนรู้ และยิ่งต้องรู้จักสร้างสิ่งใหม่” เติ้งเสี่ยวผิงกล่าวขณะไปดูงานที่โรงงานเหล็กกล้า ในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อปี 1984 โดยตอนนั้นเขามีอายุ 80 ปี
“เคารพความรู้ ให้คุณค่ากับทรัพยากรมนุษย์” วลีนี้เขากล่าวขณะพูดคุยกับเพื่อนสองคนในพรรคฯ เมื่อปี 1977 โดยกล่าวว่า “หากเราต้องการสร้างความทันสมัย สำคัญคือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่การพัฒนาเทคโนโลยีนั้น จะต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาการศึกษา ลมปากไม่สามารถสร้างความทันสมัยได้ ต้องอาศัยความรู้ ต้องสร้างคน”
“พัฒนาบางพื้นที่ที่เงื่อนไขเอื้ออำนวยให้เจริญก่อน แล้วค่อยให้พื้นที่เหล่านี้ดึงพื้นที่อื่นให้เจริญตามด้วย จนบรรลุผลการพัฒนาทั่วประเทศในที่สุด” เติ้งเสี่ยวผิงเสนอแนวทางนี้หลังจากการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 11 และความคิดนี้ก็ยังคงเป็นพื้นฐานของกลยุทธุ์การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ของจีนมาจนถึงปัจจุบัน
“ผู้นำคืออะไร ผู้นำก็คือผู้บริการ” เติ้งเสี่ยวผิงกล่าวในงานการประชุมการศึกษาแห่งชาติของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์และคณะรัฐมนตรีในปี 1985
“ทุกขั้นตอนในการปฏิรูปจะต้องต่อต้านการทุจริตคอรัปชัน” เขากล่าวระหว่างพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในพรรคเมื่อปี 1989 พร้อมกล่าวว่าการสร้างพรรคให้เข้มแข็งนั้นเป็นงานระยะยาวและจะหย่อนยานไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีความเป็นไปได้ว่าจะล้มเหลว
“สังเกตอย่างใจเย็น รับมืออย่างสุขุม น้ำนิ่งไหลลึก ไม่ยกตนเป็นผู้นำ ทำผลงานให้เกิดจริง” ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 เนื่องจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง อันสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติ ค.ศ. 1989 ที่ส่งผลให้ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตอนกลางและตะวันออกรวมถึงภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกล่มสลาย เติ้งเสี่ยวผิงจึงเสนอทิศทางการบริหารประเทศดังข้างต้นขึ้นมา
-----------------
(ที่มา : China Xinhua News)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง