ข่าว

 หากไม่ได้“พระองค์ท่าน”คงตาบอด!!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผู้ป่วยตาต้อกระจกซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณในหลวง ร.9 หากไม่ได้“พระองค์ท่าน”คงตาบอด!!

 

          คนไทยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทุกคน ที่จะเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ แต่พระองค์ผู้มาจากฟ้าและเสด็จเสวยสวรรค์ เปิดทางให้คนจนยากไร้ได้รับการดูแลรักษา... 

          นายอุทัย ปิ่นแก้ว ราษฎร อ.บ้านแพ้วอายุ72ปี หนึ่งในผู้ป่วยโรคตาต้อกระจกซึ่งเข้ารับการรักษาในโครงการผ่าตัดตาต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9ในปี2550เปิดเผยว่ารู้สึกสำนึกและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะหากมิได้เข้ารับการผ่าต้อกระจกในโครงการนี้เฉลิมพระเกียรตินี้ก็คงตาบอดไปแล้ว

 

 หากไม่ได้“พระองค์ท่าน”คงตาบอด!!

นายอุทัย  ปิ่นแก้ว

          นายอุทัย กล่าวว่า ในอดีตเคยทำงานเป็นคนขับเรือเร็ว ทำให้ดวงตาปะทะกับลมอยู่ตลอด อีกทั้งไม่เคยใส่แว่นป้องกัน ทำให้ดวงตาแดงอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอายุ50กว่าๆ ก็เริ่มมีอาการมองเห็นไม่ชัด มองเห็นแบบมัวๆ เวลาขับรถก็มองเห็นทางไม่ค่อยชัด มองในระยะไกลไม่ได้ จนกระทั่งอายุ60ปี จึงไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดในขณะนั้นถือว่าสูงสำหรับตน และก่อนหน้านั้นพี่สาวของตนเคยผ่าตัดต้อกระจกและเสียค่าใช้จ่ายไปกว่า20,000บาท ส่วนตนเองไม่มีเงินขนาดนั้น หากให้จ่ายเองคงไม่สามารถจ่ายได้

          “ตอนนั้นหมอบอกว่าเป็นต้อกระจก แล้วก็ถามว่าเข้าโครงการไหม ผมก็ตอบไปว่าเข้าครับ ตอนนั้นก็ดีใจมากเพราะผมไม่มีเงิน ถ้าไม่เข้าโครงการก็คงไม่ได้ผ่าตัด หลังจากผ่าตัดเสร็จก็นอนพัก1คืน ตอนแรกผ่าข้างเดียวก่อน จากนั้นอีก5-6ปีก็มาผ่าอีกข้าง ซึ่งหลังจากผ่าตัดแล้วก็มองเห็นดีขึ้น ในชีวิตสะดวกขึ้น ถ้าไม่ได้พระองค์ท่านผมคงจะตาบอดไปนานแล้ว”นายอุทัย กล่าว

 

 หากไม่ได้“พระองค์ท่าน”คงตาบอด!!

น.ส.ประไพ  จันทร์รวมราษฏร

          ด้าน น.ส.ประไพ จันทร์รวมราษฎร อ.บ้านแพ้ว อายุ54ปี กล่าวว่า ตนเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาครั้งแรกในปี2551และผ่าตัดอีกครั้งเมื่อเดือน มิ.ย.2560ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้วการมองเห็นดีขึ้นมาก

          “รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เมื่อก่อนมองไม่เห็นเลย เห็นแต่แบบเงาดำๆ สาเหตุเพราะเอามือขยี้ตาแล้วติดเชื้อจนเป็นหนอง ส่วนการใช้ชีวิตก็ลำบาก ต้องดูแลตัวเอง หยอดตาเอง ช่วงนั้นไม่ได้เดินทางออกไปนอกบ้านเลย หาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บใบพลูตรงรั้วบ้านขาย หมอได้ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้จนตอนนี้มองเห็นแล้ว รู้สึกดีใจมาก เดินทางออกนอกบ้านไปไหนมาไหนได้หมด”น.ส.ประไพ กล่าว

           น.ส.ประไพ กล่าวอีกว่า ถ้าไม่ได้เข้ารับการผ่าตัดในโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ก็คงไม่มีโอกาสมองเห็นอีก เพราะถ้าต้องจ่ายเองก็คงเป็นหมื่นบาทซึ่งตนคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่เมื่อเข้าโครงการนี้ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดแต่อย่างใด

 

 หากไม่ได้“พระองค์ท่าน”คงตาบอด!!

พญ.สุชีรา ตติเวชกุล

          พญ.สุชีรา ตติเวชกุล จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตา โรงพยาบาลบ้านแพ้ว กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำความดีถวายพระองค์ท่าน เพราะสมัย10ปีก่อน จักษุแพทย์ถือเป็นสาขาที่ค่อนข้างขาดแคลน แต่ละจังหวัดมีประมาณ1คนแต่ต้องดูแลประชากรทั้งจังหวัดทำให้มีภาระงานมาก คนไข้ก็ไปแออัดที่โรงพยาบาล ประกอบกับผู้ป่วยบางกลุ่มก็ไม่สามารถเข้าถึงแพทย์ได้ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่ลูกหลานทำงานต่างจังหวัด ไม่มีคนพามารักษา มาเองก็ไม่ได้เพราะมองไม่เห็น หรือถ้ามาได้ก็ต้องรอคิวผ่าตัดนาน

          “การมีโครงการนี้ก็ทำให้คนไข้ที่มีปัญหาการมองเห็นจากต้อกระจกซึ่งเจอได้บ่อยในคนอายุเกิน50ปีขึ้นไปมีโอกาสเข้าถึงแพทย์ ช่วยลดระยะเวลาการรอคอยผ่าตัด และยังลดภาระงานของแพทย์ประจำจังหวัดด้วยซึ่งถ้าไม่มีโครงการนี้ระยะเวลาในการรอคอยการผ่าตัดก็จะนานขึ้น อาจมีคนตาบอดหรือสายตาเลือนรางจากภาวะต้อกระจกมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ทุพพลภาพมากขึ้นตามไปด้วย และในฐานะหนึ่งในแพทย์ที่ร่วมโครงการก็รู้สึกดีใจที่ได้ช่วยให้คนไข้กลับมามองเห็นได้ดีขึ้นอีก รวมดีใจที่ได้ทำความดีถวายพระองค์ท่านด้วย”พญ.สุชีรากล่าว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ