ข่าว

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดใจ "ล่ามแปลภาษา" ที่มีใจรักการโคฟเวอร์ และเธอก็ทำได้อย่างดี : โดย นงนุช พุดขาว คมชัดลึกออนไลน์

 

                ความสามารถของเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก พวกเขามีความฝัน เพียงแต่ว่ายังขาดโอกาส ที่จะได้ทำความฝันให้เป็นจริง หลายคนเลือกที่จะรอโอกาสเข้ามา แต่อีกหลายคนเลือกที่จะวิ่งเข้าหา

 

ทำความรู้จักล่ามแปลภาษาที่มีใจรักการโคฟเวอร์

                “มาย” อัจฉราพร บุบาชาติ อายุ 27 ปี จบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา คณะมนุษยศาสตร์ เอกวิชาภาษาญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นล่ามแปลภาษาญี่ปุ่น ที่มีใจรักและชื่นชอบการเต้นโคฟเวอร์ และหลงใหลวงการนี้มาตั้งแต่อายุ 14 ปี ตอนนี้เธอยังเป็นสมาชิกของวง วง ABC cover BTS , วง LADYZ cover Kpop, The Dazzlers cover Seventeen และ วง RaTiaRa cover Kpop แม้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัวแล้ว แต่เธอก็ยังคงทำในสิ่งที่เธอรักมาตลอด

                “เด็กโคฟเวอร์” คือคนที่ทำเลียนแบบการเต้นของศิลปิน และต้องเต้นให้เหมือนศิลปินต้นฉบับมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นจังหวะหรือตำแหน่งการเต้น รวมถึงบุคลิกภาพ สีหน้า และท่าทาง ของศิลปินคนนั้น กระทั่งเสื้อผ้าหน้าผม ก็ต้องทำให้เหมือนหรือคล้าย เพื่อคงคาแรคเตอร์ของศิลปินไว้ ยิ่งเหมือนมาก คนดูก็จะอินมาก

                ในปัจจุบันก็ยังพบว่า มีเด็กที่ชื่นชอบทางด้านนี้อยู่อีกมาก ซึ่งจะเห็นพวกเขาได้ตามห้างใหญ่ที่พอมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมเหล่านี้ ตามสวนสาธารณะต่างๆ หรือไม่ก็ลงทุนเช่าห้องซ้อมกันเอง บางครั้งยังพบว่าเป็นเด็กที่มีอายุน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะวงการโคฟเวอร์เริ่มเปิดโอกาสให้กันเด็กรุ่นใหม่มากขึ้น บางเวทีมีการจำกัดอายุของผู้เข้าร่วมไว้ว่า ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปี ก็จะทำให้เด็กโคฟเวอร์รุ่นเก่าๆ ไม่มีโอกาสได้ร่วม

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการโคฟเวอร์

                “มาย” เล่าว่า เธอเข้ามาอยู่ในวงการเต้นโคฟเวอร์นี้ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เข้ามารู้จักและเรียนรู้การโคฟเวอร์เพราะเพื่อนชวน ด้วยความที่เธอชื่นชอบอยู่แล้ว และมีโอกาสเข้ามาพอดี เธอจึงเลือกที่จะคว้ามันไว้ และลงมือทำมันอย่างเต็มที่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสายโคฟเวอร์เป็นต้นมา

                “เพื่อนมาชวนเข้าวง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้จัก KPOP เลยค่ะ ว่ามีวงอะไรบ้าง สมัยนั้นเพื่อนชวนเต้น TVXQ เลยได้ลองเปิดคลิปดูท่าเต้น ดูครั้งแรกจำหน้าใครไม่ได้เลยค่ะ แยกไม่ออก แต่ก็ดูไปเรื่อยๆ แล้วเพื่อนก็ชวนเต้นเยอะขึ้นๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆหลายศิลปินจนถึงปัจจุบันค่ะ ยอมรับออกจากวงการนี้ไม่ได้จริงๆ มันกลายเป็นความผูกพันไปแล้ว แอบรู้สึกว่าตัวเองแก่เหมือนกัน เพราะไปไหนคนก็ไหว้”

                “มาย” บอกว่า เพราะเธอรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็มุ่งที่จะทำมันสิ่งนั้นให้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปินที่เธอชอบ ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบ และมีใจรักอะไร เราก็จะเริ่มอยากทำในสิ่งที่เรารัก ฟังเพลงของพวกเขาบ่อยๆ ดูบ่อยๆ ก็เริ่มอยากเต้นตาม นำไปสู่การแกะท่าเต้น พอเต้นได้ ก็จะเริ่มหาสมาชิก เริ่มสร้างวงเป็นของตัวเอง จนกลายมาเป็นเด็ฟโคฟเวอร์รุ่นเก่าแก่ในปัจจุบัน

 

ทำให้ได้ทุกอย่าง เพราะความสามารถไม่มีขีดจำกัด

                “มาย” ผ่านการประกวดเวทีน้อยใหญ่มาแล้วหลายต่อหลายเวทีนับไม่ถ้วน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เธอสวมบทบาทเป็นได้ทั้งศิลปินชาย และ ศิลปินผู้หญิง และเต้นมาเกือบทุกแนวเพลง ไม่ว่าจะเป็นเกิร์ลกรุ๊ป ที่มีคาแรคเตอร์เซ็กซี่ ไปจนถึงบอยแบนด์ที่มีท่าเต้นแข็งแกร่ง เธอทำมาหมดแล้ว

                “ช่วงเริ่มต้น เริ่มโคฟเวอร์เป็น คิม แจจุง แห่งวง TVXQ คาแรคเตอร์คือ นักร้องหลัก ที่ไม่ค่อยเน้นเรื่องท่าเต้น แต่จะมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองค่ะ ต่อมา ย้ายเข้ามาอยู่ ที่กรุงเทพฯ ได้มาเต้น Rania ค่ะ ศิลปินวงนี้จะมีความเซ็กซี่สูงมากๆ แต่ที่คนรู้จักมายได้ในตอนที่ได้มาเต้นตำแหน่ง HyunA วง 4minute ค่ะ เต้นจนได้ฉายาว่า ฮยอนอาไทยแลนด์อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นมายก็ได้ปั้นวง Unleashed cover Beast ขึ้นมา เป็นวงผู้ชายทั้งหมด 6 คน เพื่อโคฟเวอร์ศิลปินวง BEAST และเป็นช่วงที่มีโปรเจ็ค Trouble maker เป็นการร่วมงานระหว่าง ฮยอนอา 4minute และ ฮยอนซึง Beast เต้นด้วยกัน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก ตอนนั้นยอดวิวบน youtube เป็นแสน ทำให้ได้ไปออกรายการโทรทัศน์ มีน้องๆแฟนคลับเพิ่มขึ้น มีเด็กโคฟเวอร์ต่างชาติรู้จักและมาติดตามบนโลกออนไลน์ มีคนมาขอประวัติ มีคนวาดภาพให้ ได้สัมภาษณ์ลงหนังสือ ซึ่งน่าจะเป็นยุคแจ้งเกิดเลยก็ว่าได้ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้อยู่ในจุดๆนี้”

 

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ครั้งหนึ่งเมื่อมีโอกาส ต้องทำอย่างเต็มที่ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย

                อัจฉราพร เล่าว่า สิ่งที่ยากในการทำแต่ละโชว์ อยู่ที่การเรียงเพลงและการเชื่อมเพลง ทำยังไงโชว์ออกมาน่าสนใจ ทำยังไงให้ความรู้สึกของแต่ละเพลงไม่ต่างกันหรือขัดกันมากจนเกินไป นอกจากนั้นยังต้องคิดถึงชุดที่ใส่ ว่าเข้ากับเพลงที่เราเลือกมาโชว์หรือไม่ อย่างเช่น เวลาทำโชว์แต่ละครั้ง จะต้องจินตนาการว่า เราจะเต้นเพลงอะไรเปิดก่อน ลงไปเปลี่ยนชุดท่อนไหน เวลาเท่านี้ทันหรือไม่ ต้องจินตนาการถึงคนดูด้วยว่า เขาจะเบื่อโชว์ของเราหรือไม่ ถ้าเราเอาเพลงนี้มาต่อเพลงนี้ เขาจะตื่นเต้นหรือเปล่า เพราะเพลงศิลปินก็จะมีทั้งเพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเต้นหนัก เต้นเน้นสวยหล่อ หรือเน้นอารมณ์  

                “เคยได้ไปเต้นโคฟที่ประเทศอินโดนีเซีย เป็นงาน Kpop Festival ที่วงโคฟเวอร์ตัวแทนแต่ละประเทศจะได้ไปแข่งขันกัน ไม่น่าเชื่อว่า ยังมีคนรู้จักและจำมายได้ น่าประทับใจจริงๆค่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอยู่จุดที่มีคนรู้จักขนาดนั้นได้จริงๆ เหมือนฝันเลยค่ะ ซึ่งตอนนั้นผันตัวเองจากผู้หญิงเซ็กซี่ตัวแม่มาเป็นผู้ชายเกรี้ยวกราด อย่างหนุ่มวี หรือ Kim Taehyung วง BTS ซึ่งคาแรคเตอร์บนเวทีกับชีวิตจริงของเขาจะต่างกันมากเลยค่ะ เป็นโจทย์ที่ยากมากจริงๆ เพราะเขามีหลายอารมณ์มากๆ บนเวที ยิ่งด้วยตัวมายเองที่เป็นผู้หญิงมาเต้นเป็นผู้ชายด้วย เลยค่อนข้างยากที่จะให้คนอื่นเชื่อว่า บนเวทีนั้นเราเป็นเขาจริงๆ แต่สนุกมากเลยค่ะ มายชอบและถนัดกับการเต้นผู้ชายมากกว่าเต้นผู้หญิง เพราะงั้นทุกอย่างเลยกลายเป็นความสนุกและความสุขค่ะ” 

                แต่ถ้าพูดถึงจุดที่ง่ายในการทำโชว์ คงจะเป็นจุดที่ทุกคนในวงอยากเต้นเพลงอะไรแล้วช่วยกันเสนอความคิดในแต่ละโชว์ จะช่วยให้การทำโชว์สนุกและคนเต้นเองก็มีความสุขไปด้วย ทุกคนมีความสุขทั้งคนดูคนเต้น เวลาได้จินตนาการถึงว่า ท่อนนี้คนดูจะต้องกรี๊ดแน่ๆก็จะยิ่งสนุกมากในตอนที่คิด 

                ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ความแตกต่างของแต่ละเวทีการประกวด เรียกว่าต่างกันที่ความชอบของกรรมการผู้จัดงาน หากเป็นงานจากประเทศเกาหลี หรือกรรมการหรือทีมงานที่เป็นเกาหลีจัดขึ้น ก็จะเน้นเรื่องความเป็นศิลปิน หรือความเหมือนของท่าศิลปินต้นฉบับ ไม่ค่อยเน้นเรื่องเพลงสากล ส่วนงานที่จัดขึ้นในประเทศไทย บางงานก็จะมีกรรมการที่เป็นสายเต้น ก็จะเน้นเรื่องท่าเต้นเบสิค หรือเพอร์ฟอร์แมนซ์ ส่วนบางงานก็อาจจะชอบความเต็มของการแต่กายและเสื้อผ้าหน้าผม หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ และต้องดูว่าแต่ละงานมีธีมอะไรเพิ่มมาหรือไม่ เช่น มีการกำหนดเพลงโจทย์ที่เป็นเพลงไทยให้เด็กโคฟเวอร์ได้สร้างสรรค์โชว์ออกมาในรูปแบบใหม่ 

 

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

รางวัลคือผลพลอยได้ แต่ประสบการณ์ และมิตรภาพในทีมสำคัญกว่า 

                เมื่อถามถึงรางวัลที่เธอภูมิใจที่สุด เธอเล่าว่า สิ่งที่น่าภูมิใจที่สุด ไม่ใช่รางวัล แต่เป็นประสบการณ์ มิตรภาพ เสียงตอบรับที่ได้รับจากทุกคนมากกว่า ยิ่งคนดูอินไปกับโชว์ของเธอมากเท่าไหร่ คนดูสนุกกับโชว์มากเท่าไหร่ เธอยิ่งภูมิใจและมีแรงที่จะทำต่อไปมากเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการทำงานเป็นทีม มันเป็นประสบการณ์สอนการใช้ชีวิตให้เธอได้  

                "ความพยายาม ไม่เคยทรยศใคร ถ้าเราทำเต็มที่แล้วมีความสุขกับสิ่งที่ทำแล้ว เรื่องรางวัลจะเป็นแค่ผลพลอยได้ เพราะสิ่งที่ได้มันมีค่ามากกว่ารางวัล" 

                “แต่ละงาน มายและทุกๆคนในวงจะทุ่มเทกันมาก เพื่อให้คนดูสามารถรู้ว่ามายเต้นเป็นใคร เต้นวงอะไร แล้วคนดูชอบมากแค่ไหน อินกับมายและคนในวงมากแค่ไหน เวลามีคนดูชอบโชว์ มีคนชม ก็ยิ่งทำให้มีกำลังใจในการเต้นต่อไปมากๆค่ะ ยิ่งกว่านั้นคือเรื่องของมิตรภาพจากทุกๆคน เพราะการเต้นนี่แหละ ทำให้มายได้เพื่อนเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ ถ้าคนที่ได้มาสัมผัสวงการนี้จะรู้สึกว่าเป็นครอบครัวใหญ่ๆครอบครัวหนึ่งเลย ยิ่งกว่านั้นคือประสบการณ์ บางครั้งเกิดปัญหาบนเวทีก็ช่วยสอนให้เรารู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือมีไหวพริบเพิ่มขึ้น”                 ทุกครั้งที่ขึ้นไปยืนบนเวที เธอบอกว่า รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นทุกๆเวที ไม่ว่าขึ้นมาแล้วกี่งาน กี่เวทีก็ยังตื่นเต้น แต่เธอก็มีวิธีกำจัดความตื่นเต้นนั้นได้ ด้วยการวอร์มร่างกายก่อนขึ้นแสดง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ กรี๊ดดังๆ ช่วยลดความตื่นเต้นได้มาก 

 

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ได้อะไรจากการเป็นเด็กโคฟเวอร์ 

                เพราะการเต้นคือการสื่อสารทางอารมณ์โดยใช้ร่างกายเป็นตัวถ่ายทอดทุกๆอย่างออกมา นอกจากจะได้ออกกำลังกายไปในตัวแล้ว ยังมีรางวัลที่การันตีความสามารถของเราได้ มีชื่อเสียงทุกคนจดจำเธอได้ สิ่งหนึ่งที่เธอภูมิใจมากที่สุดคือ ประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ความสุข ความสนุก มิตรภาพ ความอบอุ่น ทุกๆอย่างบนเวทีจะช่วยสอนเธอได้ ทั้งบุคลิกภาพ ความมั่นใจ การใช้สายตาสื่อสาร ความกล้าแสดงออก ทักษะของร่างกายต่างๆ ยิ่งกว่านั้นกรรมการและคนดูทุกคนจะเป็นครูให้เรา คลิปเต้นทั้งหมดจะสอนเราให้โตขึ้น ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง เป็นสิ่งที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่หมดจริงๆ  

                “จริงๆแล้ว ความฝันอันสูงสุดสำหรับมายเอง คือได้เต้นต่อหน้าศิลปินที่เราโคฟ หรือ ศิลปินที่เราชอบค่ะ หรือจะได้เต้นเวทีเดียวกัน หรือแค่ให้ศิลปินที่เราโคฟเห็นหน้าเรา จดจำเราได้ แต่อีกสิ่งหนึ่งคือ การได้พาวงของตัวเองไปแข่งขันในต่างประเทศ เพื่อช่วยสร้างชื่อเสียงให้เด็กไทย ให้ประเทศไทย ซึ่งเด็กโคฟเวอร์ของไทยหลายๆวง ก็เคยได้ไปแข่งขันระดับโลก และได้แชมป์มาแล้ว”  

                "การเต้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆ อยากให้ลองมาสัมผัสกับงานโคฟสักครั้ง หรือลองมาเต้นสักครั้ง แล้วคุณจะรู้จักอีกโลกนึงที่มีแต่ความสนุก และความอบอุ่นที่หาจากที่ไหนไม่ได้

                การที่เราได้เจอ ได้ใกล้ชิด ศิลปินที่ชื่นชอบ มันไม่ใช่ทั้งหมดของการเป็นแฟนคลับ แต่การเป็นแฟนคลับ คือการคอยสนับสนุนศิลปินของพวกเขา ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ให้เติบโตไปพร้อมกัน 

 

เปิดใจเด็ก COVER : กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

กว่าจะมีวันนี้ผ่านปัญหาและอุปสรรคมาเยอะ ทั้งเหนื่อยและท้อ 

                ที่ผ่านมา อัจฉราพร บอกว่า เธอเจออุปสรรคมาแล้วแบบนับครั้งไม่ถ้วน เคยท้อถึงขั้นอยากทิ้งวงการโคฟเวอร์ ส่วนใหญ่ก็มักจะเจอปัญหาทางบ้าน เช่น ปัญหาเรื่องเงิน เพราะเด็กโคฟเวอร์บางคนก็ยังหาเงินเองไม่ได้ ค่าใช้จ่ายก็จะมาจากทางบ้าน ส่วนตัวเธอแล้วรายรับมาจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็จะใช้เงินเดือนของตัวเอง แต่ก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซ้อม ค่าห้องซ้อม ค่าชุด แต่รายรับจากการเต้นก็มีบ้าง เช่น เงินรางวัลที่ได้จากเต้น หรือจากงานจ้างอื่นๆ เข้ามาช่วย 

                และเธอถือว่าตัวเองโชคดีที่เธอไม่เคยมีปัญหากับครอบครัว และทุกคนยังเข้าใจในอาชีพนี้และให้การสนับสนุนมาตลอด แต่จะมีปัญหาจากปัจจัยภายนอกอย่าง การถูกกระแสวิจารย์ของคนดู เรื่องหน้าตา เรื่องรูปร่างอ้วน เรื่องการเต้นของเธอ แต่เธอผ่านมันมาได้ ด้วยการเปลี่ยนแรงกดดันให้เป็นแรงผลักดัน 

                “จริงๆ กระแสตอบรับของคนดูมีผลมาก บางคนถึงกับเลิกเต้น เพราะท้อกับคำพูดคนอื่นก็มี มายก็เคยโดนว่าเรื่องลายเต้น บางครั้งเต้นผู้ชายมาตลอด พอมาเต้นผู้หญิงก็จะโดนว่า เต้นแข็งไป อินเนอร์ไม่ได้ สายตาไม่ได้ แต่มายก็ไม่ยอมแพ้ค่ะ ไม่ว่าใครจะว่าอะไร จะต้องเก็บเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดัน อย่าให้หินที่ขว้างใส่เราทำเราเจ็บอย่างเดียว เราต้องเหยียบหินเหล่านั้นขึ้นไปด้วย ทุกวันนี้ยังจำคำพูดที่ทุกคนเคยพูดใส่ได้อยู่เลย จึงพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ขอแค่ไม่หยุดพยายาม เพราะความพยายามไม่เคยทรยศเรา แต่ถ้าเรายอมแพ้ คนที่รอหัวเราะเราอยู่ก็มี ไม่มีใครรู้ว่าคุณพยายามบินสูงขนาดไหน เหนื่อยมากแค่ไหน แต่เขาจะรับรู้เมื่อ คุณประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลวเท่านั้นค่ะ” 

                เธอ บอกว่า ไม่ว่าจะเจอปัญหาและอุปสรรคอะไร สิ่งเดียวเมื่อเจอปัญหาที่ยากจะหาทางออกได้ คือ กำลังใจ ทั้งจากตัวเองและคนรอบข้างซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเดินต่อไปได้ บางครั้งเราท้อ เราเดินไม่ไหว ก็แค่พักแล้วก็เดินต่อ ไม่มีปัญหาไหนไร้ทางออก สุดท้ายแล้ว ท้อได้ แต่อย่าถอย  

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ