ข่าว

ศูนย์ซูพีเรียฯรับอสุจิถูกจับที่หนองคาย2หลอดของคนจีน-เวียตนาม

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศูนย์ซูพีเรียฯรับอสุจิถูกจับที่หนองคายเบิกจากที่นี่ 2 หลอด เป็นของคนจีน-เวียดนาม มีเอกสารยืนยันชัดเจนเป็นอสุจิคนไข้จริง ลั่นไม่รู้เห็นการขนส่ง เตรียมแจ้งเอาผิด

      ศูนย์ซูพีเรียฯรับอสุจิถูกจับที่หนองคายเบิกจากที่นี่ 2 หลอด เป็นของคนจีน-เวียดนาม มีเอกสารยืนยันชัดเจนเป็นอสุจิคนไข้จริง มอบอำนาจคนไทยคนเดียวกันมารับแทน  ลั่นไม่รู้เห็นการขนส่ง ไม่เกี่ยวข้องผู้ถูกจับ เตรียมแจ้งความเอาผิด

     กรณีผู้ถูกจับกุมที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวจ.หนองคาย เนื่องจากมีของกลางเป็นถังไนโตรเจน 1 ถัง ภายในบรรจุหลอดใส่อสุจิ 6 หลอดของบุคคล 2 คนสัญชาติจีนและเวียดนามเตรียมนำข้ามไปฝั่งสปป.ลาว โดยผู้ต้องหามีการพาดพิงถึง 4 คลินิกที่กทม.เป็นแหล่งรับอสุจิ หนึ่งในนั้น คือ ศูนย์ซูพิเรีย เอ.อาร์.ที จนผู้บริหารศูนย์ฯดังกล่าวออกมาชี้แจง 

     ล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 21 เมษายน ที่อาคารวานิช 2 นายศรายุธ อัสสมกร กรรมการผู้จัดการ ศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที กล่าวว่า หลังจากปรากฎในข่าวว่ามีหลอดอสุจิของศูนย์ด้วย จึงได้มีการตรวจสอบพบว่า 2 ใน 6 หลอดเป็นของทางศูนย์จริง

      โดย 2 หลอดเป็นของคนไข้คนละคน เป็นชาวจีนและเวียดนาม และมีการมาขอเบิกอสุจิออกไปจากศูนย์ในวันที่ 17 และ 19 เมษายน 2560 โดยคนไข้ที่เป็นเจ้าของอสุจิไม่ได้มารับด้วยตนเอง แต่มีการมอบอำนาจให้คนไทยมารับอสุจิแทน  แต่เป็นคนๆเดียวกันทั้ง2 ครั้ง

      ซึ่งศูนย์ได้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆอย่างเข้มงวดแล้วว่าคนไข้ได้มีการมอบอำนาจจริง รวมทั้ง คนไข้ได้มีการเซ็นต์เอกสารหลักฐานต่างๆอย่างถูกต้องถึง 4 แผ่นว่าอสุจิที่ต้องการเบิกนั้นเป็นของคนไข้ที่มาขอเบิกจริง ทั้งพาสบอร์ด ใบมอบอำนาจและหนังสือสัญญาการฝากอสุจิ

     โดยคนไข้ให้เหตุผลว่าต้องการนำไปรักษาต่อที่คลินิกแห่งอื่น ศูนย์ก็ต้องดำเนินมอบให้ตามความต้องการของคนไข้เจ้าของอสุจิเพราะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนไข้ แต่ทางศูนย์ได้มีการบอกและย้ำเสมอว่าการนำเข้า ส่งออกอสุจิออกนอกประเทศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

      นายศรายุธ  กล่าวด้วยว่า คนไข้ทั้ง 2 รายได้เข้ามาขอคำปรึกษาการรักษาผู้มีบุตรยากกับศูนย์ โดยหลังจากปรึกษากับแพทย์และเจ้าหน้าที่ คนไข้มีความประสงค์จะทำการเก็บอสุจิ

     ซึ่งปกติทางศูนย์มีบริการรับฝากอสุจิ รับฝากไข่อยู่แล้ว คล้ายๆกับธนาคารที่รับฝากเงิน มีกระบวนกานถูกต้องตามกฎหมาย มีการตรวจสอบเอกสารของคนไข้แต่ละรายอย่างละเอียด มีการทำสัญญารับฝากอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผู้ที่มารับบริการเรื่องการมีบุตรยากที่ศูนย์เป็นคนไทย 20% และต่างชาติ 80% เช่น กัมพูชา ลาว เวียดนาม เมียนมาร์ เอเชียและแอฟริกาใต้ 

     “อสุจิ 2 หลอดที่จ.หนองคายที่มีสัญลักษณ์ของศูนย์นั้น มีการเบิกไปจากที่นี่จริง ตามความประสงค์ของคนไข้ที่เป็นเจ้าของอสุจิ และศูนย์ต้องดำเนินการมอบให้ตามสิทธิของคนไข้ โดยคนไข้จะระบุเหตุผลว่าต้องการเอาไปรักษาที่คลินิกอื่นต่อไป ซึ่งการมาขอรับอสุจิคืนไปนั้น คนไข้ไม่จำเป็นต้องแจ้งกับศูนย์ว่าอสุจิที่นำไปมีปลายทางที่ใด เมื่อศูนย์มอบอสุจิให้ไปแล้วก็ถือว่าจบ ในส่วนของการขนส่งหรือนำอสุจิต่อไปที่ใดนั้น ศูนย์ไม่ได้รับรู้และมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นในการขนส่ง การขนส่งเคลื่อนย้ายคนไข้จะเป็ยคนดำเนินการเอง และที่ศูนย์ก็มีคนไข้มาเบิกอสุจิเสมอ”นายศรายุธกล่าว

     นายศรายุธ กล่าวอีกว่า ศูนย์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถูกจับกุมแต่อย่างใด และไม่เคยมีการว่าจ้างผู้ๆถูกจับกุมให้ขนส่งอสุจิไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามที่ตกเป็นข่าว เพราะที่ผ่านมาศูนย์ไม่เคยให้การสนับสนุนการอุ้มบุญ หรือการซื้อขายอสุจิ ขายไข่เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรม ซึ่งศูนย์เตรียมที่จะมีการแจ้งความเอาผิดผู้ที่กล่าวหาพาดพิงศูนย์ในเรื่องนี้ต่อไป       

     ก่อนหน้านั้น กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ในฐานะกรมที่กำกับดูแลสถานพยาบาลเอกชนได้เข้าตรวจสอบคลินิกแห่งหนึ่งบนตึกสูงย่านเพลินจิต หลักงจากถูกผู้ต้องหาชายไทยกล่าวอ้างถึงว่าเป็น 1 ใน 4 คลินิกในกทม.ที่ไปรับถังไนโตรเจนบรรจุอสุจิเพื่อรับจ้างขนข้ามไปฝั่งสปป.ลาว หลังจากถูกจับคาด่านพรหมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จ.หนองคาย ซึ่งคลินิกอนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่กรมเข้าไปทำการตรวจสอบเท่านั้น ส่วนบุคคลอื่นให้รออยู่บริเวณโถงชั้นล่าง

        หลังเข้าตรวจสอบใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง นพ.ธงชัย กีรติหัตถากร รองอธิบดีกรมสบส. ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าตรวจสอบพร้อมทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรตศิลปะ สบส.ว่า จากการเข้าตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินการของคลีนิคแห่งนี้พบว่าดำเนินการถูกต้องตาม พรบ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ทางการแพทย์.พศ.2558 ทั้งนี้ ผู้ดำเนินการคลินิคหรือเจ้าของปฏิเสธไม่รู้เห็นเกี่ยวกับกรณีที่ถูกผู้ต้องหาซึ่งถูกจับกุมที่จ.หนองคายกล่าวอ้าง และคลินิคได้นำเอกสารการแจ้งความผู้ต้องหารายดังกล่าวมายื่นแสดงกับ สบส.ด้วย อีกทั้ง คลินิกจะทำการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของคลินิกเป็นการภายในด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นหรือไม่ 

      ส่วนการตรวจาสอบว่าคลินิคจะเกี่ยวข้องกับกรณีที่จ.หนองคายหรือไม่ นพ.ธงชัย กล่าวว่า สบส.ต้องรอสำนวน หลักฐานที่ถูกต้องชัดเจนจากจ.หนองคายก่อน จึงจะสามารถดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการตามกฏหมายได้ 

     เรื่องนี้ต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน  ได้แก่ 1. ผู้นำพาซึ่งถูกจับกุมถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่อยู่ในถังในไตรโนเจนเป็นไข่ อสุจิหรือตัวอ่อนจริงหรือไม่ หากเป็นจริงจะมีความผิดตามพรบ.คุ้มครองเด็กฯ มีโทษ.. 2.ต้องตรวจสอบว่ามีเอเจนซี่เป็นคนกลางในการดำเ้นินการหรือไม่ และมีการซื้อขายกันหรือไม่ และ3. มีคลินิคเข้ามาเกี่ยวข้องในการนำส่งด้วยออกนอกปหรือไม่ ถ้าสบส.ได้รับข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนก็จะดำเ้นินการตามกฏหมายทันที

       “ขอย้ำว่าในพรบ.คุ้มครองเด็กฯฉบับนี้หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่าพรบ.อุ้มบุญนั้น กฎหมายนี้ไม่ได้คุ้มครองเฉพาะกรณีการทำอุ้มบุญเท่านั้น แต่จะคุ้มครองทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งการใช้ไข่ อสุจิ หรือตัวอ่อนมาใช้ช่วยการมีบุตร อาจจำเป็นต้องทำวิธีการอุ้มบุญอย่างเดียว วิธีอื่นก็ทำได้ เช่น นำไข่ของแม่มาผสมกับอสุจิของพ่อกลายเป็นตัวอ่อนแล้วฝังกลับเข้าไปในมดลูกของแม่ แบบนี้ไม่ใช่การอุ้มบุญ ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสถานพยาบาลที่สามารถดำเนินการเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการช่วยเจริญที่ได้รับอนุญาติถูกต้อง 70 แห่งในส่วนของการอุ้มบุญอนุญาตให้ทำแล้วกว่า 100 ราย”นพ.ธงชัยกล่าว

   นพ.อาคม กล่าวว่า ในการตรวจสอบกรณีที่จังหวัดหนองคาย จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าสิ่งท่บรรจุนั้น เป็นไข่้ อสุจิ หรือตัวอ่อน ซึ่งจังหวัดหน่องคายไม่สามารถดำเนิืนการได้ ต้องส่งไปจตรวจสอบที่จังหวัดขอนแก่น คาดว่าจะทราบเร็วๆนี้ ถ้าระบุได้ชัดเจนดำเนินการครบทั้ง 3 สิ่งหรือไม่อย่างไร จะสามารถตรวจสอบได้จากบัตรผู้ป่วยนอก ที่จะแนบส่งไปพร้อมกับถังไนโตรเจรด้วย ในบัตรจะระบุชื่อคลินิค คนไข้ ความผิดปกติที่คนไข้มารับบริการ วันเวลาที่มารับบริการ ซึ่งจะนำบัตรไปตรวจสอบย้อนกลับมาที่คลินิกได้ ซึ่งต้องรอข้อมูลที่ชัดเจน 

    วันเดียวกัน    ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกแพทยสภา กล่าวกรณีมีการจับกุมขบวนการขนอสุจิข้ามชายแดน ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าในถังเก็บความเย็นนั้นเป็นตัวอ่อนหรือไม่ ตอนนี้กำลังส่งมาตรวจในคลินิกที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งคิดว่าใช้เวลาไม่นาน ทั้งนี้หากตรวจแล้วว่าเป็นเรื่องจริงถือว่าผิดกฎหมาย แพทย์ที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องนี้โดนแน่นอน ซึ่งนอกจากผิดกฎหมายแล้วก็จะผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพด้วย อาจจะต้องเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมด้วย

      เมื่อถามว่า มีข้อมูลปรากฏว่าเคยมีคลินิกที่เคยทำผิดเกี่ยวกับการทำอุ้มบุญมาก่อนด้วยถือว่าโทษต้องรุนแรงขึ้นหรือไม่ นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าทำผิดแม้ครั้งเดียวก็ผิด เป็นการเจตนา จงใจกระทำผิด ก็ถือว่าเป็นโทษร้ายแรง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังต้องมีการตรวจสอบก่อน.

    สำหรับโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้ เช่น กรณีเป็นแพทย์ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานแพทยสภา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำเชิงการค้า รับจ้างอุ้มบุญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท กรณีเป็นนายหน้ามีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีขายอสุจิหรือไข่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีที่มีการดำเนินการอุ้มบุญมาก่อนกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ให้สามารถยื่นรับรองบุตรได้เลย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ