กลางเดือนมี.ค.ทำฝนหลวงสู้ภัยแล้ง

          เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 มีนาคม 2560 ที่สำนักงานศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เดินทางมาติดตามผลปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือ พื้นที่ประสบภัยแล้ง บรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยมี น.ส.หนึ่งฤทัย ตันติพลับทอง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ และร่วมประชุมนำเสนอผสมงานการปฏิบัติงาน

          นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในเขตภาคเหนือต้องประสบปัญหาหมอกควันและไฟป่าในช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน เป็นประจำทุกปี ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน กรมฝนหลวงและการบินเกษตรจึงได้คิดศึกษาวิจัยเทคนิคและรูปแบบการบินเพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควัน ในโครงกี่ศึกษาการปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยใช้แนวคิดจากการใช้สารฝนหลวงตามตำราฝนหลวงพระราชทาน 

          โดยจะใช้สารฝนหลวงสูตรเย็นจัดหรือนำแข็งแห้ง โปรยในบริเวณเหนือชั้นบรรยากาศอุณหภูมิผกผัน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดต่ำลง และส่งผลให้ฝุ่นละอองสามารถลอยขึ้นบรรยากาศระดับบนได้ การแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าได้ใช้อากาศยาชนิด CASA จำนวน 2 ลำในการโปรยสาร และใช้เครื่อง Super King Air สำหรับการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของฝุ่นละออง จำนวน 1 ลำ โดยมีเป้าหมายในการดำเนินการ 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้ แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย แพร่ น่าน ตาก พะเยาและแม่ฮ่องสอน โยเริ่มดำเนินการในช่วงเดือน มีนาคม – พฤษภาคม 2560 นี้

          นอกจากนั้น กรมฝนหลวงฯ ได้ดำเนินการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นภารกิจในยุทธศาสตร์ ทั้งนี้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน คือการเกิดพายุฤดูร้อนและลูกเห็บ ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมในการบรรเทาความรุนแรงด้วยเทคนิคการปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อยับยั้งความรุนแรงจากพายุฤดูร้อนและพายุลูกเห็บ และลดความความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ก

          ในเรื่องการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหาภัยแล้ง สำหนับน้ำในเขื่อนที่มีปริมาณน้อย ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนภูมิพล เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนสิริกิติ์ ทางกรมฝนหลวงได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวนี้ตั้งแต่ต้นฤดูภัยแล้งเพื่อปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำลงในเขื่อน 

          "อย่างไรก็ตามได้มีการประสานกับกรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำในเขื่อนให้พอเพียงกับความต้องการในช่วงฤดูแล้ง จากการเปิดการปฏิบัติการฝนหลวงมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมานั้นสภาพอากาศยังไม่เอื้อที่จะทำฝนหลวง จากการติดตามสภาพอากาศเชื่อว่า ช่วงกลางเดือนมีนาคมเป็นต้นไป สภาพอากาศจะเอื้อต่อการทำฝนหลวงมากขึ้น ซึ่งได้มีการติดตามสภาพอากาศทุกวันเพื่อเตรียมพร้อมในการปฏิบัติการตลอดเวลา"นายสุรสีห์ กล่าว

          นายสุรสีห์ กล่าวอีกว่า สำหรับการร้องขอให้เข้าไปช่วยปฏิบัติการฝนหลวงในภาคเหนือในช่วงนี้นั้น พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยว พื้นที่ดังกล่าวนี้จะต้องหลีกเลี่ยงในการทำฝนหลวง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพื้นที่ได้ ต้องรอให้พ้นจากช่วงนี้ไปก่อน ประกอบกับสภาพอากาศยังไม่เอื้อต่อการปฏิบัติการมากนัก เชื่อว่าหลังจากนี้ไปสภาพอากาศจะเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติการมากขึ้น สำหรับการสนับสนุนในส่วนของอากาศยานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน2560นี้เป็นต้นไป ทางกองทัพอากาศ(ทอ.)ได้สนับสนุนเครื่องอัลฟ่าเจ็ท จำนวน 1 ลำ เพื่อเข้ามาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงและยับยั้งพายุลูกเห็บ 

         นายสุรสีห์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงนี้ถือได้ว่ายังอยู่ในช่วงต้นฤดูแล้ง การปฏิบัติการฝนหลวงจึงไม่ได้ช่วยให้ปริมาณน้ำในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพพื้นดินยังมีความแห้งแล้งอยู่มาก ทำให้น้ำยังไม่ไหลลงเขื่อน การปฏิบัติการก่อนหน้านี้จึงเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่า ส่วนฝนที่ตกลงในเขื่อน หรืออ่างเก็บน้ำโดยตรงมีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในพื้นที่ภาคเหนือได้มีการเปิดหน่วยปฏิบัติการในหลวง 2 หน่วยคือ ที่จังหวัดพิษณุโลก และ จังหวัดเชียงใหม่

          "โดยมีอากาศยานในการปฏิบัติการประจำจังหวัด 2 ลำ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมความพร้อมและตรวจเช็คความพร้อมของสภาพอากาศอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งมีการประสานกับกรมชลประทานและ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด" นายสุรสีห์ กล่าว