ข่าว

DSI แจ้งข้อหา "สมเด็จช่วง" เลี่ยงภาษีเบนซ์หรู

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

DSI แจ้งข้อหา "สมเด็จช่วง" ครอบครองสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี ผิดพ.ร.บ.สรรพสามิต และร่วมแจ้งเท็จในเอกสารราชการ ผิดอาญาหลายมาตรา

 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีการสอบสวน รถยนต์ยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น 300 บี ของ"สมเด็จช่วง" เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

           การสอบสวนพบมีผู้กระทำผิดแบ่งเป็นกรณี ดังนี้
           (1) กลุ่มผู้นำเข้าพิธีการศุลกากรต่อกรมศุลกากร
            พบความผิดเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องยนต์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการปลอมเอกสารการนำเข้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลงผิดในของที่นำเข้า จึงบ่งชี้ถึงเจตนาผู้นำเข้าว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันลักลอบหนีศุลกากร หรือ ซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของหนีภาษีศุลกากร” ตามมาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ซึ่งในกลุ่มนี้ได้จับกุมผู้กระทำความผิดแล้ว 1 ราย อยู่ระหว่างเรียกตัวมาแจ้งข้อหาอีก 2 ราย
           (2) กลุ่มผู้ประกอบรถยนต์และชำระภาษีไม่ครบถ้วนต่อกรมสรรพสามิต
           พบการกระทำผิดว่ามีการปลอมลายมือชื่อโรงประกอบรถยนต์ผู้อื่น และแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าประกอบรถยนต์ แสดงมูลค่าราคารถยนต์ในการขอชำระภาษีสรรพสามิต ราคา 570,000 บาท เพื่อให้มีการเก็บค่าภาษีเข้ารัฐต่ำกว่าความเป็นจริง แต่ความจริงรถยนต์มีการซื้อขายกันที่ราคา 4,000,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงถือว่ามีการประกอบรถยนต์จริง ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แต่ชำระภาษีไม่ถูกต้องและครบถ้วน กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการส่งเรื่องให้กรมสรรพสามิตประเมินภาษีเพิ่มเติมแล้ว รอผลการพิจารณาของกรมสรรพสามิต
           (3) กลุ่มผู้ที่นำรถไปชำระภาษีและจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก
           พบการกระทำผิดเกี่ยวกับกรณีการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของผู้แจ้งขอจดทะเบียนที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้รับโอนว่ามีการซื้อขายรถยนต์กันที่ราคา 1,000,000 บาท แต่ความจริงมีการซื้อขายรถยนต์กันจริงที่ 4,000,000 บาท ทำให้รัฐรับชำระค่าอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐเสียหายจำนวน 105,000 บาท ขั้นตอนนี้มีความผิดฐาน “ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือ เอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137  ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, และมาตรา 267 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกอบมาตรา 83
           (4) กลุ่มผู้ครอบครองรถ
           พบการกระทำผิดเกี่ยวกับการครอบครองรถยนต์ที่ประกอบขึ้นโดยมีการชำระภาษีไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติ ผู้ครอบครองมีการร่วมกันครอบครองต่อเนื่องตั้งแต่การประกอบรถยนต์เสร็จสิ้นจนถึงปัจจุบัน โดยจากพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ครอบครองย่อมรู้ว่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นรถยนต์ที่ได้มาโดยไม่ชอบตามกฎหมาย อันมีความผิดฐาน “ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน” ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2527 มาตรา 161(1) มีโทษปรับตั้งแต่ 2 เท่า- 10เท่า ของค่าภาษีที่จะต้องเสีย

           ทั้งนี้ "สมเด็จช่วง" น่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดในกลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 4

           ขั้นตอนต่อไปพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลที่มีความผิดตามกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไปโดยเร็ว หากผลการดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นประการใด จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยเร็ว
 

         

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ