ข่าว

นักการเมือง -บ้าจี้ "- "กฎเหล็ก3พัน"

นักการเมือง -บ้าจี้ "- "กฎเหล็ก3พัน"

06 ธ.ค. 2552

ใน...ระยะหลังๆ มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ประกาศของ ป.ป.ช. ที่ห้าม "เจ้าหน้าที่รัฐ" รับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท" ที่ออกมาเมื่อปี 2543 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการคอรัปชั่น ได้ถูกมองว่ามีการนำไปใช้อย่างผิดๆ โดย "นักการเมือง" นำไปใช้เป็น "เครื่องมือ" ในก

 แล้ว...ในความเป็นจริง..."กฎเหล็ก" ของ ป.ป.ช. ในเรื่องนี้มีหลักเกณฑ์ และมีที่มาที่ไปอย่างไร ? และ "หัวอก" ของคนที่เป็น "กรรมการ ป.ป.ช." ที่ออกประกาศนี้มาคิดอย่างไร เมื่อเห็นนักการเมืองนำเอาเรื่องนี้มา "ฟาดฟัน" กัน

 "พวกที่เอากฎหมายไปเล่นทางการเมือง ร้องเข้ามาเพื่อให้เป็นข่าว แล้วเอาข่าวไปเล่นการเมืองกัน ที่จริงไม่ควรทำเลย ไม่ควรร้องเข้ามาโดยมีเบื้องหลัง คือต้องตรงไปตรงมา ผมเห็นว่าฝ่ายที่ถูกกลั่นแกล้งสามารถเอาคืนได้ โดยการฟ้องกลับได้ บ้านเมืองที่เสียหายเวลานี้มาจากนักการเมืองทั้งนั้น เพราะว่านักการเมืองเล่นงานกันเองไปมาอย่างพร่ำเพรื่อ ที่จริงคนที่เป็นนักการเมืองต้องเสียสละในการทำงานทางการเมือง แต่ทุกวันนี้พวกที่ทำงานการเมืองเอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏเป็นข่าวทุกวันนี้ ล้วนแต่ทำให้บ้านเมืองเสียหายทั้งนั้น ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ โตๆ กันแล้ว" ศ.ดร.เกริกเกียรติ พิพัฒนเสรีธรรม อดีตกรรมการ ป.ป.ช.ชุดแรก ซึ่งเป็นผู้ออกประกาศเกี่ยวกับเรื่อง 3,000 บาท เริ่มแสดงความเห็น

 จากนั้นเริ่มอธิบายถึงที่มาที่ไปของประกาศฉบับนี้ว่า ประกาศฉบับนี้ได้ออกเมื่อปี 2543 โดย ป.ป.ช. มองว่า งานทำบุญประเพณี ใส่ซองกฐิน หรืองานแต่งงาน งานศพ มีการใส่ซองให้กันประมาณ 1,000-2,000 บาท ซึ่งถือว่าเงินจำนวนดังกล่าวไม่มาก เป็นเรื่องปกติ จึงเป็นที่มาของการห้ามรับเงินเกิน 3,000 บาท

 "แต่ถ้าเห็นว่าเงินจำนวน 3,000 บาท ปัจจุบันมันต่ำไปแล้วก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรเปลี่ยน เงิน 3,000 บาท ควรเป็นตัวตั้งอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าค่าเงินมันจะลดลงก็ตาม"

 เขาบอกว่า ในเรื่องการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหลายรูปแบบ ซึ่งรูปแบบหนึ่งที่มักเห็นกันได้ง่าย ก็คือการให้ "ของขวัญ"

 ดังนั้นจุดประสงค์ของประกาศนี้ ก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐที่รับ "ของขวัญ" จากประชาชน ซึ่งถ้ามีราคาเกิน 3,000 บาทในขณะรับมอบ เจ้าหน้าที่รัฐก็รับไม่ได้ หรือมีใครเสนอให้ตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศ ซึ่งเป็น "ผลประโยชน์" ไม่ใช่ "ทรัพย์สิน" ที่มีค่าโดยตรง อย่างนี้ก็เข้าเกณฑ์ต้องห้ามไม่ให้รับเช่นกัน เพราะว่าทรัพย์สินราคาเกิน 3,000 บาท เป็นช่องทางไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นได้ในอนาคต 

 อย่างไรก็ตามประกาศในเรื่องนี้ มีการยกเว้นไว้ว่า การรับ "ของขวัญ" โดยธรรมจรรยาและประเพณี เป็นเรื่องปกติในสังคม เพราะหากจะห้ามรับในทุกกรณี ก็จะไปฝืนธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติโดยทั่วไป เช่น งานแต่งงาน งานปีใหม่ ซึ่งจะมีการมอบ "ของขวัญ" ให้กัน

 ดังนั้นเพื่อไม่ให้ขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณีและไม่เป็นช่องทางในการคอรัปชั่น จึงได้กำหนดว่า การรับ "ของขวัญ" หรือ "สิ่งของ" โดยทั่วไปภายในประเทศ ให้รับได้ในมูลค่าที่ไม่เกิน 3,000 บาท ซึ่งหมายความว่า เจ้าหน้าที่รัฐเมื่อได้รับ "ของขวัญ" โดยเป็นเรื่องของธรรมจรรยา ซึ่งหมายถึงการรับทรัพย์สินจากญาติหรือบุคคล ที่ให้กันในโอกาสต่างๆ โดยปกติตามธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมหรือให้กันตามมารยาทที่ปฏิบัติกันในสังคม ก็สามารถรับได้แต่ต้องไม่เกิน 3,000 บาท

 "แต่ถ้าสิ่งของที่รับมานั้นมีค่าเกิน 3,000 บาท หากรับมาแล้วก็ทำได้ 2 ทาง คือ ส่งคืนให้แก่ เจ้าของไปหรือแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่าได้รับของขวัญมา แล้วให้ลงทะเบียนเป็นของราชการไป ในกรณีที่เป็นนายกรัฐมนตรีหากไม่ส่งคืนเจ้าของ ก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลที่รับผิดชอบเรื่องนี้ทราบเพื่อลงทะเบียนเป็น "ของหลวง" อย่างกรณีที่นายกฯ รับแหวนทองราคาเกิน 3,000 บาท หากคืนไปก็จบ ไม่ใช่รับแหวนมาก็ถือเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ซึ่งก็เหมือนกับสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่เพื่อนร่วมรุ่นทำสร้อยคอให้ ป.ป.ช. ก็บอกว่าถ้ารู้ว่าเกิน 3,000บาท คืนให้เจ้าของไปก็จบ"

 ส่วนในกรณีที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง รับ "ของขวัญ" หรือ "สิ่งของ" จากต่างประเทศ ก็ต้องแจ้งให้ทราบเช่นกันและให้ถือว่าเป็น "ของขวัญ" ที่แขกประเทศนั้นๆ ให้แก่ประเทศและลงทะเบียนเป็นของทางราชการไป จะถือเอาเป็นของ "ส่วนตัว" ไม่ได้

 "เกริกเกียรติ" ยังบอกว่า ที่ผ่านมาเท่าที่เขาจำได้ ป.ป.ช. ไม่เคยมีการชี้มูลความผิดในเรื่องนี้เลย

 ซึ่งกรณีที่ ปปช. มีมติว่ามีความผิด ในส่วนของคดีอาญาที่ความผิดในเรื่องนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ก็จะส่งให้สำนวนให้อัยการยื่นฟ้องศาลต่อไป ส่วนโทษทางวินัยก็จะส่งให้ต้นสังกัดลงโทษต่อไป

 "พร้อมกับคำยืนยันส่งท้ายที่ว่า ประกาศห้ามรับเกิน 3,000 บาทควรจะมีอยู่ต่อไป เพราะเป็นหนทางหนึ่งในการปิดทางการคอรัปชั่น"


** โต๊ะข่าวการเมือง สำนักข่าวเนชั่น**