3 บก.วิเคราะห์ เปิดวิธีการสลายสามมิตร กับการจองกฐินซักฟอก" อุตตม" คดีกรุงไทยปล่อยกู้กฤษดามหานคร ซึ่งแบ็งก์ชาติ และ คตส. ชี้ว่า"อุตตม" ไม่ผิด
เมื่อวันที่ 13 ก.ค.62 เวลา 17.00 น. นายสมชาย มีเสน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nation Group นายวีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และนายบากบั่น บุญเลิศ บรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 3 บก.ใหญ่เครือเนชั่น ได้จัดรายการวิเคราะห์การเมือง เนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก. ออกอากาศผ่านเนชั่นทีวี ช่อง 22 ตอน ปฏิบัติการสลายสามมิตรกับกฐินซักฟอก"อุตตม"
โดยรายการแบ่งวิเคราะห์ออกเป็น 2 หัวข้อสำคัญ กฐินซักฟอก "อุตตม" กับ "ปฏิบัติการสลายสามมิตร"
กฐินซักฟอก " อุตตม"
3 บก. ได้วิเคราะห์ว่า ถึงกรณีที่ฝ่านค้านเตรียมใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 160 ( 4 ) ที่ระบุว่ารัฐมนตรีต้อง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มาอภิปรายรัฐมนตรีในการแถลงนโยบายรัฐบาล ซึ่งการหยิบเอามาตรานี้มาอภิปรายรัฐมนตรี เพราะไม่ต้องมีใบเสร็จหลักฐานมาแสดงในการอภิปราย โดยตอนนี้ มีรัฐมนตรี 6คนที่ถูกจองกฐิน โดยคนที่หนักสุด คือ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เกี่ยวกับกรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกฤษดามหานคร จำนวน 9,900 ล้านบาท
จากนั้น 3 บก. ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกฤษดามหานคร โดยเริ่มจากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำนวน 9,900 ล้านบาท ในปี 2546 เนื่องจากกลุ่มกฤษดามหานครไปกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพจำนวน 4,500 ล้านบาท แล้วไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารกรุงไทย ได้เงินมา 9,900ล้านบาท มีส่วนต่าง 5,400 ล้านบาท โดยส่วนต่าง 5,400 ล้านบาท นำไปซื้อที่ดิน พัฒนาโครงการใหม่ กฤษดาซิตี้ และซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ เป็นเหตุนำไปสู่การสอบสวนการปล่อยกู้เงินของธนาคารกรุงไทยให้กับกฤษดามหานคร
3 บก. ได้อธิบายลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เมื่อ 9 ธันวาคม 2546 คณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยอนุมัติเงินกู้ จำนวน 9,900 ล้านบาท
ต่อมา 29 ก.พ. 2547 ฝ่ายตรวจสอบของแบ็งก์ชาติ พบว่าการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทลูกของกฤษดามหานคร คือ บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรีย พาร์ค มิได้วิเคราะห์ฐานะและความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ การอนุมัติเงินกู้รวบรัด อ้างบุคคลภายนอกที่เรียกว่า "บิ๊กบอส-ซุปเปอร์บอส"
30 มิ.ย. 2547 แบ็งก์ชาติ จึงจัดชั้น "สงสัยจะสูญ" และกันสำรอง
10 พ.ย. 2547 แบงค์ชาติเห็นว่าราคาประเมินหลักประกันที่ บริษัท โกลเด้นฯ นำมากู้เงินมีราคาเพียง 7,118 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า ตอนที่บริษัทโกลเด้นฯนำเอาที่ดินมายื่นเป็นหลักทรัพย์ในการขอกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย เนื้อที่ประมาณ 4,300 ไร่ ย่านบางนา มีการตีราคาสูงถึง 14,000 ล้านบาท ที่ตีราคาสูงก็เพราะจะได้กู้เงินได้มาก ซึ่งแบ็งค์ชาติส่งคนไปดูในภายหลังพบว่าเป็นที่ดินน้ำท่วมและเป็นที่ดินตาบอด แบ็งค์ชาติ จึงชี้ว่า สาเหตุที่มีการประเมินราคาที่ดินที่นำมาเป็นหลักประกันในการกู้เงินสูงถึง 14,000ล้านบาท เพราะลูกหนี้เลือกบริษัทประเมินและวิธีประเมินเอง คือ บริษัท โกลเด้นฯ ไปจ้างบริษัทในเครือมาประเมินราคาที่ดินดังกล่าว
แต่การอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทลูกของกฤษดามหานครจำนวน 9,900 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 มี 2 คนที่ไม่เห็นด้วยคือนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์และนายอุตตม สาวนายน ซึ่งทั้ง 2 คน เป็นคนที่กระทรวงการคลังส่งไปเป็นกรรมการอิสระ และได้แจ้งกับฝายตรวจสอบของแบ็งก์ชาติว่า ทั้ง 2 คนได้ทักท้วงในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย ซึ่งฝ่ายตรวจสอบของแบ็งก์ชาติก็พบว่าทั้ง 2 คนคัดค้านในที่ประชุมจริงว่ามีการปล่อยเงินกู้ไม่เหมาะสม
ต่อมาแบ็งก์ชาติ ออกรายงานผลการตรวจสอบออกมาว่าคณะกรรมการบริหารแบ็งค์กรุงไทยมีความผิดยกเว้น 2 คน คือนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์และนายอุตตม สาวนายน และส่งเรื่องไปที่ ป.ป.ช. ต่อมาเกิดการปฏิวัติ 2549 และมีการตั้ง คตส. ขึ้นมา จึงมีการส่งเรื่องไปยัง คตส. ตรวจสอบเรื่องนี้
2มิ.ย. 51 คตส.มีมติว่า"ดร.อุตตม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 19 ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือสนับสนุน การกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ให้ข้อกล่าวหาตกไป " และไม่ใช่การกันนายอุตตมไว้เป็นพยาน แต่เพราะแบ็งก์ชาติและ คตส.ชี้ว่านายอุตตม ไม่มีความผิด
และต่อมามีการส่งเรื่องไปยังอัยการ และอัยการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฟ้อง 27 ราย ไม่มีชื่อนายอุตตม เป็นจำเลย ยกฟ้อง 2 ราย โดยมีจำเลยที่ 1 คือนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกพาดพิงว่าเป็น"บิ๊กบอส-ซุปเปอร์บอส" ที่สั่งให้ปล่อยกู้ในครั้งนี้ ที่กำลังหลบหนีคดี และอยู่ระหว่างไต่สวนพิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่ 1 คือนายทักษิณ
สำหรับจำเลยคนสำคัญที่ถูกจำคุก และมีการปล่อยตัวออกมาแล้ว คือ ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ นายวิโรจน์ นวลแข และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา เนื่องจากเข้าเงื่อนไขการได้รับ "การพักโทษ" เนื่องจากเป็นนักโทษชราอายุเกิน 70 ปี และรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 ของโทษจำคุก
และยังมีคดี"โอ๊ค-พานทองแท้ ฟอกเงิน" ซึ่งเป็นคดีแตกหน่อจากคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกฤษดามหานคร
ปฏิบัติการสลาย"สามมิตร"
"กลุ่มสามมิตร" เป็นหอกข้างแคร่รัฐบาล "สามมิตร" มีฐาน ส.ส. ทั้งสิ้น 17 คน เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ 3 คน ส.ส. อีสาน 2 คน และ ส.ส.ภาคกลาง-เหนือตอนบน 12 คน
จึงมีวิธีการสลายของพรรคพลังประชารัฐ
1. มาตรการของพรรคฯ คือเมื่อเป็นรัฐมนตรี ต้องลาออกจาก ส.ส. โดยแกนนำกลุ่มสามมิตร ที่เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ มี 2 คน คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมและนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ทำให้ ส.ส. บัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มสามมิตรหายไป 2 คน และแม้จะมีการเลื่อนนายภิรมย์ พลวิเศษ ซึ่งอยู่ในกลุ่มสามมิตร มาเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อแทน แต่ก็เป็นลูกทีม ขณะที่ หัวหน้าทีม 2 คน พ้นจาก ส.ส.ไป ทำให้"ตีนลอย"
2.ในเมื่อ "สามมิตร" ตกปลาในบ่อได้ กลุ่มก๊วนอื่นก็"ตกปลา" ใน"บ่อสามมิตร"ได้และตอนนี้ก็เริ่มมีการตกปลาใน"บ่อสามมิตร"แล้ว
3.ในการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนฯ นายชวน ได้เสียงสนับสนุน 258 เสียง ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลมี 254 เสียง งดออกเสียง 1 คือ นายชัย ชิดชอบ ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เหลือ 253 เสียง จึงมีส่วนต่าง 5 เสียง มีงูเห่า 5 เสียง ตอนโหวตชวนเป็นประธานสภาฯ ส่วนนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งเป็นคู่แข่ง ได้ 235 เสียง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมี 246 เสียง นายธนาธร ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และ มี ส.ส.อนาคตใหม่ อีก 1คน ป่วย จึงเหลือ 244 เสียง เท่ากับหายไป 9 เสียง โดยไปโหวตให้นายชวน 5 เสียง ส่วนอีก 4 เสียงงดออกเสียง แสดงว่า 9 เสียงนี้พร้อมเป็น"งูเห่า" และเมื่อไปรวมกับปฏิบัติการสลายสามมิตร ทำให้ความมั่นคงที่จะจัดการกับ"สามมิตร"มีมากขึ้น "สามมิตร" จะมีพลังน้อยลงในการต่อรอง ซึ่งจะทำให้ความมั่นคงของ"รัฐบาลุงตู่" มีมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง