ข่าว

 "ปิยบุตร"แถลงความผิดพลาด กกต.3 ข้อ ขู่ฟ้องละเว้นหน้าที่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ปิยบุตร"แถลงความผิดพลาดกกต.3 ข้อขู่ฟ้องละเว้นหน้าที่เรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่ จ.นครปฐม เผยทั้งตนและนายธนาธร ลงเล่นการเมืองเพราะต้องการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง

        วันที่ 30 เมษายน 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ นาย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้แถลงถึง กรณีความผิดพลาดในการทำงานของกกต. 3 ประเด็นด้วยกัน คือ ประเด็นที่ 1 เรื่องสูตรการคำนวณคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ได้ออกมาแถลงว่า จะใช้สูตรที่กรรมการร่าง รธน. (กรธ.) เป็นผู้คิดและเป็นผู้เสนอ คือสูตรที่มี 27 พรรคการเมืองได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในเรื่องนี้ เนื่องจากการใช้สูตรดังกล่าว จะทำให้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคหายไปประมาณ 7-8 ที่นั่ง ซึ่งคิดเป็นคะแนนดิบกว่า 600,000 คะแนน จึงต้องขอชี้แจงเรื่องของสูตรที่จะใช้ในการคำนวณว่ามีเพียงสูตรเดียว คือสูตรตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด มาตรา 91 (1) (2) และ (4 )

 

        ในกรณีนี้ มาตรา 91(1) ให้นำคะแนนรวมแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งประเทศของทุกพรรคมาหารกับ 500 ซึ่งหารออกมาแล้วได้ตัวเลขอยู่ที่ 71,057.4980 และเมื่อได้ตัวเลขดังกล่าวแล้ว ก็ให้ไปดู มาตรา 91(2) กันต่อ ที่ให้นำเอาคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขตของแต่ละพรรคไปหารกับ 71,057.4980 ก็จะได้มาซึ่งจำนวนของ ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ไปประมาณ 88 ที่นั่ง         ทั้งนี้ ในมาตรา 91(2) ได้เขียนเอาไว้ว่า ห้ามให้พรรคการเมืองใดมี ส.ส. เกินกว่าจำนวน ส.ส. พึงมี ดังนั้นหมายความว่า แต่ละพรรคที่จะได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ จะต้องมีคะแนนดิบอยู่ที่ 70,100 เศษๆ ถึงจะได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และมีอยู่เพียงกรณีเดียวเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น ในมาตรา 91(4) ที่ระบุว่า ในกรณีที่ได้ ส.ส. แบบแบ่งเขต เกินจำนวนของ ส.ส. พึงมี ให้ใช้จำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตที่เขาได้รับ แล้วก็ไม่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์เลย ดังนั้นถ้าพรรคใดได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตเยอะกว่า ส.ส. พึงมี ให้ถือว่าได้รับจำนวน ส.ส. เท่ากับจำนวนของ ส.ส. แบบแบ่งเขตที่ได้ โดยปาร์ตี้ลิสต์ก็จะไม่ได้เลย และในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา กรณีนี้เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว ที่ได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตไป 136 ที่นั่ง แต่ ส.ส. พึงมีของเขาอยู่ที่ 111 เศษๆ จึงทำให้เขาไม่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์เลย นอกเหนือจากนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดทั้งสิ้น ที่เหลือทุกพรรคการเมือง ถ้าจะคำนวณจำนวนส.ส. ต้องคิดจากฐาน 71,057.4980 และถ้าใช้สูตรนี้ในการคำนวณ ตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 91 พรรคอนาคตใหม่ จะได้จำนวน ส.ส.พึงมีอยู่ที่ 88.6

           ทางพรรคจึงขอชี้แจงว่า ถ้าทาง กกต. จะใช้สูตรที่กรรมการร่าง รธน. (กรธ.) เป็นผู้คิดและเป็นผู้เสนอ คือ สูตรที่มี 27 พรรคการเมืองได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อทำให้พรรคที่ได้คะเเนน 60,000 จนถึง 30,000 คะเเนนได้ ส.ส. แล้วทำให้จำนวนที่นั่ง ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคอนาคตใหม่หายไป 7-8 ที่นั่ง ซึ่งคิดเป็นคะแนนถึง 600,000 คะแนน พร้อมตั้งคำถามว่า หากจะบอกว่าระบบการเลือกตั้งครั้งนี้ให้ความสำคัญกับทุกคะแนน แล้ว 600,000 คะแนนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ไม่มีความสำคัญหรือ? ถ้าใช้สูตรคำนวณแบบที่ กกต. กำลังจะทำ

       กรณีที่ทาง กกต. ระบุว่าสูตรดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่กรรมการร่าง รธน. (กรธ.) เป็นผู้คิดและเป็นผู้เสนอ นายปิยบุตร กล่าวว่า การที่ทาง กกต. ไปถามความเห็นจากทาง กรธ. นั้นไม่ใช่รัฐธรรมนูญ กรธ. ไม่ได้เท่ากับ รธน. เพราะหลังจากที่ทำการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว รัฐธรรมนูญก็มีชีวิตด้วยตัวของมันเอง ซึ่งในที่นี้ เป็นหน้าที่ของทาง กกต. ที่ต้องพิจารณาตีความตามตัวอักษรที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ไปสอบถามจากทาง กรธ. หากใช้วิธีการไปสอบถามแบบนี้เท่ากับว่า กรธ. นั้นกลายเป็น รธน. เสียเอง หากทาง กกต. ยืนยันที่จะใช้สูตรดังกล่าว ในฐานะผู้เสียหายโดยตรง พรรคอนาคตใหม่จึงขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับทาง กกต. ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความผิดเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือความผิดตามมาตรา 69 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น

      ประเด็นที่ 2 เรื่องการเรียกร้องให้เปิดเผยผลคะเเนนดิบรายหน่วยทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อวานทาง เลขาธิการ กกต. ได้ออกมาแถลงว่า เอกสารคะแนนดิบรายหน่วยนี้ ไม่ได้เป็นความลับ แต่ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ กกต. จังหวัด หากใครอยากได้ก็ให้ไปขอเอาที่ กกต. จังหวัด ทางพรรคจึงขอเรียนว่าที่ผ่านมาตลอด 1 เดือนหลังเลือกตั้ง ผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ทั้งหมด ได้ไปร้องขอคะแนนดิบรายหน่วยจากทาง กกต. จังหวัดแล้ว ซึ่งมีทั้งคนที่ได้และไม่ได้ โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้ ส่วนในบางกรณีที่ได้ เมื่อนำมาตรวจสอบแล้วก็มีข้อบกพร่องที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ ยกตัวอย่างเช่น กรณีการนับคะเเนนใหม่ของ จ.นครปฐม ที่คะเเนนไม่เหมือนกัน มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึง 5 ครั้ง ถ้าหากจะนับใหม่อีก ความน่าเชื่อถือก็ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงขอเรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่

     ทั้งนี้ได้ชี้แจงถึงข้อบกพร่องที่น่าสัยว่า มาจากกรณีเมื่อนำเอกสารมาเทียบกันแล้วพบว่า มีคะแนนไม่ตรงกันของเเบบขีดคะเเนน หรือ ส.ส. 5/11 กับ ผลคะเเนนรวมหน่วย หรือ ส.ส. 5/18 จึงขอเรียกร้องให้ กกต. สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย ให้เปิดคะเเนนทุกหน่วยทันทีที่มีผู้ร้องขอดูคะแนน เพราะ กกต. เคยเเถลงว่าผลคะเเนนนั้น ไม่เป็นความลับ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เปิดเผย ถ้า กกต. มั่นใจว่าการเลือกตั้งโปร่งใส การเปิดเผยจะเป็นเกราะกำบังเอง

     ประเด็นที่ 3 เรื่องการถูกเเจ้งข้อกล่าวหาการถือหุ้น วี-ลัค มีเดีย ของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยนายปิยบุตร ชี้แจงว่า วันนี้นายธนาธร จะเดินทางไปชี้เเจงข้อกล่าวหา โดยตนก็จะเดินทางไปด้วย ซึ่งตนเเละนายธนาธร ไม่กังวล หากกระบวนการตรวจสอบของ กกต. เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม พร้อมระบุด้วยว่า จะมีการชี้แจงหลักฐานโดยละเอียด แต่ต่อให้เปิดเผยแค่ไหน ระบบการพิสูจน์ ก็เหมือนกับในยุคกลางแบบ “จารีตนครบาล” ที่การพิสูจน์ความบริสุทธ์ ต้องลงไปเดินน้ำลุยไฟ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้กล่าวหา ข่าวเจาะถือเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง แต่เมื่อเจาะลงไปแล้วเขาไม่ผิด ก็ต้องยืดอกยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ดึงดันจะเจาะเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ได้รับการให้เข้าชี้แจง แต่คณะกรรมการตรวจสอบไปเรียกเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ การเดินเรื่องตรวจสอบก็เป็นไปตามสำนักข่าวหนึ่งทั้งหมด

        เมื่อวันที่ 22 เมษายน เวลา 13.45 น. มีหนังสือส่งไปถึงนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของนายธนาธร ให้มาให้ชี้แจงต่อกกต. ในวันที่ 22 เมษายน เวลา 10.30 น. ซึ่งต้องเป็นยอดมนุษย์เท่านั้นจึงไปชี้แจงได้ ทำได้อย่างเดียวต้องนั่งไทม์แมชชีนไป ตรงนี้เรามีหลักฐานเลข ems ชัดเจน ตนไม่เข้าใจอะไรกันหนักหนา นี่คือความผิดปกติจากการตรวจสอบ ฝ่ายถูกตรวจสอบไม่ได้มีโอกาสชี้แจง วันนี้ชี้แจงข้อกล่าวหา ตนในฐานะทีมกฎหมาย จะเข้าไปร่วมกับนายธนาธรเพื่อชี้แจงพร้อมเอกสารลังใหญ่หลักฐาน 26 รายการเข้าไปชี้แจงด้วย ยืนยันว่าความยุติธรรมไม่อาจเกิดขึ้นได้ จากการฟังความข้างเดียว แต่ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ ต้องฟังความทุกฝ่าย ส่วนเอกสารข้อกล่าวหาที่กำหนดให้ชี้แจงภายใน 7 วันลงวันที่ 23 เมษายนนั้นมี 1 หน้า ระบุว่า เลขาฯกกต.ขอให้ท่านแจ้งทราบข้อกล่าวหา ในระหว่างรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ยื่นสมัครวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บ.วี-ลัค มีเดีย จำกัด ส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า นายธนาธร ถือหุ้น ดังนั้นท่านจึงเป็นผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลต้องห้ามในการรับสมัครเลือกตั้ง

       “มันมีปัญหาตรงที่ เราไม่อาจทราบได้ว่า 1.เอกสารบัญชีผู้ถือหุ้นฉบับไหน ลงวันที่เท่าไร 2.ข้อกล่าวหาตีขลุมไปเลยว่า ท่านถือหุ้นบ.วี-ลัค โดยไม่อธิบายข้อเท็จจริงใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเอกสารไม่มีชื่อธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นแล้ว เพราะจบไปตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม เราจึงตั้งข้อสังเกต หากกกต.ให้ความเป็นธรรมกับเรา การเขียนข้อกล่าวหาต้องละเอียดหน่อย ในทางวิธีปฏิบัติจะกล่าวหาอะไรเขียนไม่ชัดไม่ได้ต้องเขียนใหม่ เพราะส่งผลถึงความไม่ชอบ ถ้าเป็นอัยการส่งสำนวนแบบนี้ไปศาลอาญาเขายกแน่ หากจะทำแบบนี้ก็เขียนเลยว่า กกต.มีอำนาตรวจสอบนักการเมืองชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วกัลปวสาน ถ้าทำแบบนี้ก็เท่ากับเปลี่ยนแนวคำพิพากษาศาลฎีา ผู้สมัครส.ส.ทุกคนโดนหมด การทำธุรกิจประกอบกิจการจะมีปัญหาหมด จะฆ่าหนูตัวเดียวแล้วเผาบ้านทั้งหลังก็เอา” นายปิยบุตร กล่าว

       นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การให้เวลาชี้แจงเพียง 7 วันถือว่าสั้น แล้วยังไม่ได้บอกข้อเท็จจริงอีก เมื่อไปดูเทียบเคียงคดีพรรคอื่นพบว่า ทำไมจึงช้า เช่น การร้องเรียนตรวจสอบการจัดโต๊ะจีนระดมทุน ทั้งยังไม่รู้ว่าจะต้องชี้แจงตรงไหนบ้าง ส่งการบ้านโดยไม่บอกโจทย์อะไรเลย และขอย้ำว่ากกต. ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามนายธนาธร ในเวลานี้ โดยมีอำนาจตรวจสอบในวันที่สมัคร และก่อนวันเลือกตั้ง ระฆังหมดยกคือวันที 23 มีนาคม พอหลังเลือกตั้ง แต่ยังไม่ประกาศผล ระหว่างนี้การตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ทำได้เฉพาะผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตามที่มาตรา 53 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.กำหนดไว้เท่านั้น ที่กำหนดต่างกันเพราะ ส.ส.แบบแบ่งเขต คะแนนที่ได้จะส่งผลต่อคะแนนของบัญชีรายชื่อ จึงให้ตรวจได้อีกครั้ง แต่ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อนั่งเฉยๆรอดูผลคะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง หากจะตรวจคุณสมบัติ ต้องรอรับรองผลส.ส.ก่อน โดยต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

        "การแจกใบส้มก็แจกไม่ได้ เพราะไว้ใช้สำหรับการเลือกตั้งที่ไม่สุริตหรือไม่เที่ยงธรรม ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม หากจะใช้การตีความขยายความไปเรื่อย อาจเข้าข่ายจงใช้กฎหมายโดยขัดเจตนารมย์ของกฎหมาย หากจะตีความขยายกฎหมายข้ามช่องการตรวจสอบ แล้วจะออกแบบกฎหมายเป็นช่องทางทำไม อยากให้กกต.พึงระมัดระวัง หากยืนยันจะตรวจสอบ โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อาจเข้าข่ายใช้อำนาจโดยมิชอบ กฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 69 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยกกต. ที่กำหนดถึงการละเว้นของกกต. มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และยังถือเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง สามารถร้องยังป.ป.ช.และศาลฎีกาแผนกคีดอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"

       นายปิยบุตร กล่าวว่า เรามีความปรารถนาดี อยากเข้ามาทำงานการเมืองให้ประเทศเดินไปสู่อนาคตแบบใหม่ พร้อมรับการตรวจสอบ โดยต้องใช้กฎหมายตามหลักความยุติธรรม ไม่ใช่เครื่องมือทางกฎหมาย ไม่ใช่การสกัดกั้นไม่ให้เข้าสภา การตรวจสอบที่เลือกปฏิบัติและกลั่นแกล้งทางการเมือง ไม่ได้กระทบเพียงผู้สมัครส.ส. แต่กระทบกับคะแนนที่ประชาชนเลือกเข้ามา ที่สำคัญคือการนำองค์กรอิสระ และกระบวนการทางกฎหมายที่วางไว้ มาใช้เพื่อแรงจูงใจทางการเมือง ผมเห็นใจกกต.มากที่ต้องรับศึก ตามกติกาใหม่เดิมพันสูง มีแรงกดดันทุกสารทิศ แต่กกต.ก็สามารถเอาตัวรอได้ ถ้าสุจริต โปร่งใส ยึดหลักความยุติธรรม ก็จะเป็นเกราะกำบัง ถึงเวลา กกต.ต้องพิสูจน์ความอิสระอย่างแท้จริง ที่จัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม

      เมื่อถามถึงกรณีที่ นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ จ.สกลนคร เขต 2 ถูกศาลชี้ไม่สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง นายปิยบุตร กล่าวว่า ไม่เห็นดัวยกับคำพิพากษา ทำให้เห็นว่ามีปัญหาเรื่องบริคณห์สนธิ เพราะในความเป็นจริงบริษัทของนายภูเบศวร์ทำรับเหมาก่อสร้าง แต่มีข้อหนึ่งเขียนถึงสื่อ ก็ถูกนักร้องไปนั่งตามหาใบบริคณห์สนธิกัน วันๆชีวิตไม่ต้องทำอะไร ค้นข้อมูลร้องกันไปมา ประเทศนี้จะบริหารกันด้วยการค้นหาบริคณห์สนธิกันหรือ ซึ่งขอเตือนบรรดานักร้องว่าหลายเรื่องเข้าข่ายฟ้องเท็จ บางคนปิดกิจการไปแล้ว บางคนตายไปแล้ว บางคนโอนห้นไปแล้ว โดยมาตรา มาตรา 143 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ใครที่กล่าวหาคนอื่นว่า ไม่มีสิทธิสมัครส.ส. ต้องโดนใบเหลือ ใบส้ม เป็นเท็จ มีโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับ 1-2 แสนบาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี นักร้องที่จะกลั่นแกล้งทางการเมือง อยากบอกว่า ถ้าอยากเป็นนักร้องต้องมืออาชีพหน่อย

      “เรายังกำลังใจดีใช้ชีวิตปกติ จัดกิจกรรมกันปกติ แต่กลับมีเรื่องหงุดหงิดกวนใจ แทนที่จะทำได้เรื่องสร้างสรรค์ ตอนนี้ทำท่าจะบานปลาย ต่างขุดคุ้ยกันมาอีก บ้านเมืองเราจะไม่คิดเรื่องการตั้งรัฐบาล การบริหารประเทศกันแล้วหรือ ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ก็ต้องเคารพเสียงประชาชนกันบ้าง นายธนาธรจะหัวเสียก็เรื่องนี้ แทนที่จะได้ดูงาน กลับต้องคอยมาชี้แจงอีก ชี้แจงก็ไม่ฟังบอกปลอม จะต้องตรวจสอบดีเอ็นเอกันแบบจับอาชญากรเลยหรือไม่” นายปิยบุตร กล่าว  

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ