3 บก.เครือเนชั่นทุบโต๊ะ มาร์คไม่เอาตู่ แล้วตู่จะเอามาร์คไหม

     เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 เวลา 18.00 น. นายสมชาย มีเสน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nation Group นายวีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และนายบากบั่น บุญเลิศ บรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ได้จัดรายการ ผ่านทาง Facebook Live ที่แฟนเพจ"คมชัดลึก" วิเคราะห์ตรงจุด มาร์คไม่เอาตู่! แล้วคิดว่า...ตู่จะเอามาร์คไหม? เปิดความจริง! ธนาธร คิดเอา ทักษิณ กลับ Get him back จากสัมภาษณ์รอยเตอร์  

      3 บก.ใหญ่ เครือเนชั่น ได้ทุบโต๊ะถกประเด็นแรกถึงการปล่อยหมัดในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงการเลือกตั้ง ที่ในช่วงนี้ได้มีหลายพรรคการเมืองออกมาโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กันเป็นอย่างมาก อย่างเช่น พรรคประขาธิปัตย์ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีการประกาศจุดยืนออกมาว่า "ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์" ด้านพรรคเพื่อไทย ก็ปล่อยหมัดเด็ดโชว์เป็นสโลแกนชัดเจนออกมาว่า "เอาลุงตู่คืนไป เอาเงินในกระเป๋าคืนมา" ด้านภูมิใจไทย ก็ประกาศลั่นด้วยว่า "นายกต้องมาจากสภาผู้แทนฯ" และพรรคอนาคตใหม่ ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนเลยว่า "ไม่เอาพรรคพลังประชารัฐ" แต่ประเด็นที่ร้อนที่สุดก็คือ ประเด็นของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกพูดถึงมากในขณะนี้

      มาร์คไม่เอาตู่...แล้วตู่จะเอามาร์คไหม ?

      3 บก. ระบุว่า เป็นเรื่องที่หลายคนเฝ้ารอ ว่าเมื่อไหร่พรรคประชาธิปัตย์จะเลิกกั๊ก และออกมาแสดงจุดยืนสักที และเมื่อมีการออกมาแสดงจุดยืนว่า ไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์  ประเด็นนี้จึงได้รับความสนใจทันที ถึงแม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยังไม่ชัดเจนว่า ไม่เอาลุงตู่ แล้วจะไม่เอาพลังประชารัฐด้วยใช่หรือไม่? ทั้งยังมีการประกาศออกมาด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ขอร่วมกับเพื่อไทย

      ซึ่งมองว่าประเด็นของประชาธิปัตย์กับลุงตู่ และพรรคพลังประชารัฐ เหมือนคำว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง แต่การเล่นการเมืองครั้งนี้คุณจะเล่นคนเดียวไม่ได้ เพราะต้องมีการจับมือกับพรรคอื่นถึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นรัฐธรรมนูญผสม อย่างไรก็ตามถ้าจะเป็นนายกฯ ต้องมีพรรคที่ส.ส.ถึงร้อยอย่างน้อย 2 พรรค และไปรวมกับพรรครอเสียบ ก็จะได้ประมาณ 260 ส.ส. ทำให้จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่เมื่อคุณอภิสิทธ์ประกาศออกมาอย่างนี้ จึงกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังติดหล่มการเมือง ส่วนคนที่ยังเดินหน้าตำแหน่งนายกได้อยู่ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์

      ทำไม ลุงตู่ ยังตัวเต็งนายกฯ

      ตามรัฐธรรมนูญพอเลือกตั้งมาจะยังไม่ประกาศผล ซึ่งผลการเลือกตั้งจะประกาศในวันที่ 9 พฤษภาคม และมีเวลา 15 วันในการเรียกประชุมหลังจากประกาศผล สมมุติว่าเป็นวันที่ 24 พฤษภาคม วันนั้นก็จะมีการเลือกประธานสภาให้มีการโปรดเกล้าฯ แล้วค่อยมาเลือกนายกฯประมาณต้นเดือนมิถุนายน สมมุติว่าถ้าการจัดตั้งรัฐบาลไม่ลงตัว ยังไม่สามารถที่จะเลือกนายกได้ ในเวลา 1 เดือนผ่านไป พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังคงเป็นนายกฯอยู่ อาจจะบอกว่าให้เวลาอีกสักเดือนหนึ่ง ถ้ายังเลือกนายกไม่ได้ ลุงตู่อาจใช้อำนาจของนายกที่มีในการยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง เพราะเกิดเดดล็อกทางการเมืองที่สภานั้นไม่อาจสมบูรณ์ได้ จากการประกาศตัวไม่ขอร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของพรรคต่างๆ ยิ่งคุณอภิสิทธิ์ออกมาประกาศไม่เอาลุงตู่ การเมืองเลยมาถึงทางตัน เพราะไม่มีทางที่ประชาธิปัตย์จะชนะได้ถล่มทลายภายใต้กติกาแบบนี้

 

หากถามว่าทำไม “อภิสิทธิ์” ถึงออกมาประกาศ 

       3 บก. ระบุว่า คุณอภิสิทธิ์ คิดในแง่ของตนเองว่า การประกาศออกมาอย่างนี้ จะช่วยเพิ่มคะแนนให้กับตนเอง เพราะคะแนนเสียงของประชาธิปัตย์คงไม่ลด แต่อาจได้คะแนนเสียงจากวัยรุ่นที่ไม่เอาลุงตู่ไม่เอาทหารเพิ่ม ซึ่งในครั้งนี้มีกลุ่มวัยรุ่นที่มีสิทธิเลือกตั้งอยู่เยอะ มีหลายคนที่อยู่ในกลุ่มเลือกตั้งครั้งแรก แล้วยังคงไม่มีพรรคในดวงใจ ประมาณ 7 ล้านคน ที่มีอายุอยู่ในช่วง 18-26 ปี ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละพรรค ว่าจะตักตวงคนกลุ่มนี้ที่ยังไม่มีพรรคในดวงใจไปได้มากแค่ไหน ด้านประชาธิปัตย์จึงได้ออกมาประกาศเพื่อหวังให้ชนะขาดตำแหน่งที่สองในการเลือกตั้งไปเลย

      โดยแรงกระเพื่อม ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับหลังจากประกาศจุดยืนเลยก็คือ การตอบกลับจากพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาบอกว่า “คุณอภิสิทธิ์บอกว่าไม่ร่วมกับเพื่อไทย...เราขอบคุณ เพราะเราก็ไม่ร่วมกับคุณ” แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คุณอภิสิทธิ์จะปฏิเสธคนอื่นได้ แต่คนอื่นก็ปฏิเสธคุณอภิสิทธิ์ได้เช่นกัน 

ด้านพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกพาดพิงถึง “ลุงตู่” ก็ไม่นิ่งเฉย ตอบกลับมานิ่มๆว่า “ขอให้จำไว้แล้วกัน ว่าพูดอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นคนเลือก” ในเมื่อคุณอภิสิทธิ์ไม่เอาผู้นำที่พรรคพลังประชารัฐเสนอ เหตุใดพรรคพลังประชารัฐจึงต้องสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ ซึ่งปกติการเล่มเกมการเมือง เขาจะไม่ประกาศออกมาหรอกว่า จะเอาหรือไม่เอาใคร เพราะจะเปิดโอกาสเอาไว้เผื่อการแตะมือกัน แต่ประชาธิปัตย์ยังไม่เคยมีใครเป็นมือจัดตั้งรัฐบาลรวบรวมคน จึงได้ทำให้เกมการเมืองมาอยู่ในจุดที่เลี่ยนไป ที่อาจมาถึงทางตัน

อีกคนที่ได้ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงคุณอภิสิทธิ์ ก็คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ได้กล่าวว่า “วันนี้ต้องเลือกข้างระหว่างลุงตู่กับทักษิณ”  “ไม่เอาลุงตู่จะเอากับทักษิณ?” พร้อมทั้งทวงบุญคุณด้วยว่า ถ้าไม่ได้ตน คุณอภิสิทธิ์ก็ไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ซึ่งการที่คุณสุเทพออกมาพูดอย่างนี้ ก็เพราะต้องการฐานคะแนนจากทางภาคใต้ โดยอาศัยจังหวะทางการเมืองที่คุณอภิสิทธิ์พลาด เอาคะแนนฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ย้ายมาที่พรรคของตนแทน ซึ่งเรียกได้ว่าตอนนี้คุณอภิสิทธิ์ กำลังถูกรุมหลายหมัด 

การที่ “อภิสิทธิ์” ออกมาพูดว่า “ไม่เอาลุงตู่” มีผลดีหรือผลเสียกับพรรคประชาธิปัตย์  

       3 บก. ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่มีผลเสียกับพรรคประชาธิปัตย์ในด้านของคะแนนเสียงที่จะได้ แต่ผลเสียจะเกิดขึ้น หลังจากมีการเลือกตั้งไปแล้ว ตอนที่มีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งคะแนนเลือกตั้งที่ได้ของพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะเสมอตัวหรือบวกขึ้นก็ได้

“อนาคตใหม่” เปิดเกมท้าทายอำนาจตุลาการ 

        พรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของศาล จึงถูกมองว่า เป็นการท้าทายอำนาจตุลาการหรือไม่? ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ได้แสดงออกชัดเจนว่า ไม่ยอมรับการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการตัดสินยุบพรรคไทยรักษาชาติ มีการให้สัมภาษณ์โดยบอกว่าจะพาทักษิณกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้กลับบ้านมาทำการรื้อฟื้นคดีกันใหม่ และได้บอกว่าการทำงานของกระบวนการยุติธรรมในยุคของรัฐบาลทหารไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจเป็นการดูหมิ่นต่อ “ผู้พิพากษา” 

เปิดความจริง! ธนาธร คิดเอา ทักษิณ กลับ Get him back จากการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ 

     โดย 3 บก. ได้แปลคำให้สัมภาษณ์ของคุณธนาธรเป็นภาษาไทยออกมาว่า “การตั้งข้อหาอาญา เพื่อเอาผิดคุณทักษิณ ดำเนินการในยุครัฐบาลทหาร เราขอเสนอให้นำเขากลับมา” ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่สองประเด็น คือ อนาคตใหม่กำลังกลัวอะไรอยู่ จากคำพูดของคุณธนาธรว่าจะเอาคุณทักษิณกลับมา เพราะมีหลายคนในพรรคอนาคตใหม่ร้องว่า สื่อไปลงข่าวผิด ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น

       แต่เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่นายธนาธรบอกเป็นนัยว่า ผู้พิพากษาไม่เป็นกลาง ในการไต่สวนคดีของคุณทักษิณ เพราะอยู่ในรัฐบาลทหาร แต่เมื่อย้อนกลับไปดูพบว่า การตัดสินคดีที่ดินรัชดาของคุณทักษิณนั้นอยู่ในวันที่ 17 กันยายน 2551ในสมัยรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลทหาร และคุณทักษิณก็ได้หนีไปก่อนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551แล้ว 

       ในส่วนนี้มองว่า เมื่อพูดอะไรออกไปต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน ไม่ใช่จะเอาแต่พูด เพราะต้องรับผิดชอบต่อคำพูดนั้นด้วย ทั้งได้ชี้แจงถึงการทำงานของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาทางการเมืองว่า เขาไม่ได้ตัดสินโดยวางว่าใครรับผิดชอบคดีไหนไว้ก่อน อย่างคดีที่ดินรัชดา เมื่อคดีเข้ามาตามกระบวนการจนถึงทางศาล เขาจะให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้ง 87 คน เลือกกันโดยโหวตให้เหลือ 9 คนไปพิจารณาคดี ซึ่งคดีต้องมาก่อนถึงค่อยเลือกคนพิจารณา ถ้าบอกว่าการไต่สวนในครั้งนั้นไม่เป็นกลาง การทำงานร่วมกันของคนทั้ง 87 คนในตอนนั้น ที่เลือกผู้พิพากษามาพิจารณาคดีร่วมกันก็ไม่เป็นกลางใช่หรือไม่? 

         ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะมีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 อำนาจ ก็คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ และไม่มีการแทรกแซงอำนาจกัน แต่สำหรับอำนาจนิติบัญญัติ กับอำนาจบริหารนั้นจะเห็นว่ามีการแทรกแซงกันอยู่ในหลายประเทศ แต่อำนาจตุลาการนั้นจะไม่มีการแทรกแซงกัน ดังนั้น ถ้าคุณธนาธรบอกว่าจะเอาผู้พิพากษาที่เป็นกลาง กลางในความหมายของคุณ กลางในความคิดของคุณ คุณก็คิดแทรกแซงศาลแล้ว ซึ่งเป็นการก้าวข้ามอำนาจที่ได้แบ่งแยกกันไว้ อนาคตใหม่ตอนนี้อาจจะอนาคตหมอง เพราะผู้พิพากษาอาจไปหารือกันได้ว่า คำแถลงของธนาธรนั้นหมิ่นศาลหรือไม่ หรืออาจมีคนอื่น หรือประชาชนไปร้องเรื่องนี้เอาผิดพรรคอนาคตใหม่ได้