ข่าว

"จตุพร" ห่วงเลือกตั้งไม่เกิดเพราะ "สุเทพ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"จตุพร" ห่วงการเลือกตั้งไม่เกิด เหตุ "สุเทพ" ใช้วาทกรรมปลุกระดมหาเสียงสร้างความขัดแย้ง หวังผลเลือกตั้งเพียงชั่วคราว

 

               ที่ ห้องแถลงข่าวแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.  นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ในฐานะ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ แถลงข่าวกรณีการลาออกจากกรรมการบริหารพรรคของ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ว่า

 

 

 

               ความไม่พอใจในลำดับบัญชีรายชื่อก็มีปัญหากันทุกพรรค พรรคอื่นๆ ก็มีปัญหาเรื่องนี้ พรรคที่ใหญ่สุดอาจได้บัญชีรายชื่อน้อยสุด พรรคกลางและพรรคเล็กอาจมากหรือน้อยตามลำดับ ทั้งนี้ ตนกับ พ.ต.ท.สมชาย ยังมีความนับถือกัน ไม่ได้มีปัญหากันเป็นการส่วนตัว จึงมองการลาออกนั้นเป็นสิทธิเสรีภาพ

               ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยว่า หากพรรคเพื่อชาติทำผิดกฎหมายจริง ก็ต้องรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นใบลาออกของ พ.ต.ท.สมชาย ก็สอดคล้องกับบุคคลที่ยื่นพิจารณายุบพรรคเพื่อชาติก่อนหน้านี้ ซึ่งบุคคลที่ยื่นก็เป็นคณะเดียวกันกับ พ.ต.ท.สมชาย ในขั้นตอนเป็นเรื่อง พ.ต.ท.สมชาย ที่ใช้สิทธิ์ยื่นลาออกและมีการกล่าวหาพรรคไว้ ดังนั้น หากการดำเนินการใดๆ ของพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ต.ท.สมชาย ก็ยังคงเป็นจำเลยด้วยอยู่ดี

               นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนเองไม่ได้ยุส่ง แต่สนับสนุนว่าเมื่อ พ.ต.ท.สมชาย เดินมาขนาดนี้ ขอให้เดินหน้าอย่างเด็ดขาด หากมีข้อเท็จจริงก็เปิดเผยทั้งหมด หากพรรคเพื่อชาติเป็นตามที่ถูกกล่าวหา บัญชีรายชื่อก็เป็นโมฆะ พรรคถูกยุบ บุคคลในพรรคก็ต้องถูกดำเนินคดีทางอาญา ในส่วนพรรคเพื่อชาติขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ยังไม่ได้ส่งข้อกล่าวหาที่มีคนไปร้องเพื่อให้พรรคเพื่อชาติได้ไปแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งขั้นตอนนี้ พรรคเพื่อชาติได้เตรียมการไว้แล้ว เมื่อ กกต. แจ้ง ผู้ถูกกล่าวหาก็มีสิทธิ์ชี้แจง

 

 

 

               ส่วนเรื่องการจ่ายเงินซื้อลำดับบัญชีรายชื่อตามกระแสข่าวที่ระบุว่า ถ้าอยู่ในลำดับเลขตัวเดียวต้องจ่ายเงิน 15 ล้านบาท นายจตุพร ระบุว่า พรรคการเมืองใดถ้าเอาความเป็นพรรคไปเร่ขายเป็นความเลวทรามต่ำช้า ตนก็เห็นว่า หากพรรคขายตำแหน่ง ส.ส. ตามการกล่าวหาจากแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตน หากมีความจริงปรากฏ พรรคนี้ก็ไม่ควรอยู่ในสถานะพรรคการเมือง และต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย

               นายจตุพร กล่าวด้วยว่า อยากให้ย้อนให้ดูรายชื่อลำดับต้นๆ ว่าสมควรจ่ายเงินให้พรรค 15 ล้าน หรือไม่ พร้อมแนะนำว่าให้ผู้สมัครบัญชีรายชื่อทั้ง 150 คน ก็จับไปสาบานที่ศาลหลักเมืองให้สิ้น ว่าใครจ่ายเงินซื้อขายตำแหน่งก็ขอให้ชิบหายโดยทั่วกัน ทั้งนี้ การระดมทุนการเมืองกับขายตำแหน่งผู้แทน ต่างกัน ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขายโต๊ะจีนได้ 600 กว่าล้าน พรรคนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือ รปช. ขายโต๊ะจีนได้ 280 กว่าล้าน แต่พรรคนี้ดูรายชื่อแล้วใครจะขายใครกันแน่ ตนไม่รู้ว่าได้ ส.ส. ถึง 10 คนหรือไม่

               ทั้งนี้ มองว่าในทางปฏิบัติขณะนี้พรรคเพื่อชาติมีสถานะการเงินแย่มาก เป็นเรื่องหน้าอับอาย ซึ่งช่องว่างนี้จึงทำให้มีคนปล่อยข่าว ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียงบอกผู้สมัครพรรคเสมอว่า อย่าแสวงหาหนี้สินโดยไม่จำเป็น และตนพยายามช่วยหาเสียงอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อพรรคการเมืองเดินถึงจุดหนึ่ง ผู้สมัคร ส.ส. ที่คิดว่าพรรคจะมีงบประมาณ ซึ่งพรรคก็ไม่มีงบประมาณจนทำให้ผู้สมัครใช้จ่ายเกินจนเป็นหนี้สิน จึงเตือนด้วยความเป็นห่วง เมื่อมองภาพภายนอกพรรคนี้เหมือนมีตังก์ แต่ไม่ใช่ จึงขอให้ยอมรับความเป็นจริง ซึ่งหากไม่ยอมรับความจริงจะเดินต่อไม่ได้ และตนเองต้องให้กำลังใจบรรดาผู้สมัคร ส่วนผู้สมัครที่มีศักยภาพ มีสถานะทางเศรษฐกิจ ก็สู้ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดได้ และบางคนก็มีจิตใจเอื้อเฟื้ออนุเคราะห์ให้กับเพื่อนร่วมเขต ก็มีที่ประจักษ์อยู่ในหลายเขตด้วยกัน จากการลงพื้นที่หลายที่ เห็นว่าการหาเสียงบางครั้งไม่ต้องใช้เงิน เพียงแค่ใช้หัวใจที่เป็นประชาธิปไตยก็เดินถึงเส้นชัยแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีหัวใจที่แน่วแน่และมั่นคง

 

 

 

               นายจตุพร ได้กล่าวอีกว่า จากการที่นายสุเทพปราศรัย ข้อมูลที่โพสต์กัน และการคารวะแผ่นดินทั่วประเทศ เห็นว่าประชาชนไม่ได้ต้อนรับอย่างที่คิด จึงมุ่งเป้าตลาดเดิมของตัวเอง ใช้วาทกรรมประกาศให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างประเทศไทยกับระบอบทักษิณ ตนอยากบอกนายสุเทพว่า เผด็จการจริงแน่นอนแต่ประชาธิปไตยอาจมีพวกซ่อนแอบเพื่อหนุนการสืบทอดอำนาจ เผด็จการเนื้อแท้ยังมีอยู่ และเห็นชัดคือ คสช. ที่เป็นเผด็จการ

               แต่นายสุเทพก็รู้ว่าหากให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการระหว่างเอา พลเอกประยุทธ์ กับไม่เอา พลเอกประยุทธ์ ฝ่ายไม่เอา พลเอกประยุทธ์ จะชนะ จึงเป็นการใช้ลูกไม้ตื้นๆ ว่าจะเลือกข้างประเทศไทยหรือเลือกข้างระบอบทักษิณ นายสุเทพรู้แล้วว่าการหาเสียงเหมือนเดิมไม่สัมฤทธิ์ผล ท้ายสุดใช้วิธีการแยกข้างในการหาเสียง ถึงขั้นขึ้นเวทีประกาศว่าใครฆ่าใคร เหมือนเวทีชุมนุม กปปส.

               ทั้งนี้ ตนเตือนมาตั้งแต่ต้นว่าการใช้วาทกรรมเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ตนไม่เคยกลัวเรื่องนี้เลย เพราะสามารถตอบโต้ได้ทุกกรณี และเรื่องนี้เคยหยิบยกมาใช้ในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 จนนายสุเทพแพ้ เมื่อแพ้ก็แถลงยอมรับว่าไม่ได้แพ้พรรคการเมือง แต่แพ้กระบวนการคนเสื้อแดง วันนี้นายสุเทพปลุกคนของตัวเองแล้ว ยังปลุกมวลชนของตนด้วย และมวลชนของตนมากกว่าและเคยอธิบายไว้ก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง ฝ่ายนายสุเทพไม่เคยชนะพวกตนเลย

 

 

 

               ดังนั้น พอทีกับวาทกรรมหลอกลวงประชาชน หวังผลการเลือกตั้งแค่ข้ามคืน การปราศรัยแบบนี้ไม่น่ากลัวเลย ถ้านายสุเทพไม่หยุด นายจตุพรก็จะไม่หยุดบ้าง ซึ่งทางการเมืองนายสุเทพจะแพ้ เพราะตนไม่ได้ปลุกพวกมา และนายสุเทพปลุกพวกตนมาเอง

               นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่วิเคราะห์การเลือกตั้งจะถึงหรือไม่ วันนี้ตนให้น้ำหนักการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพียง 50 - 50 เหตุจากนายสุเทพเดินดีๆ ทุกวันแต่ออกทะเลไปได้อย่างไร อีกทั้งที่มองว่าการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น เพราะ พปชร. จะแพ้อย่างย่อยยับ ทั้งนี้ มองว่าพรรคไหนชนะจะไม่มีอารมณ์เครียด ดังนั้น คนชนะจะไม่แสดงความก้าวร้าว แต่คนแพ้จะแสดงความก้าวร้าว

 

 

 

"จตุพร" ห่วงเลือกตั้งไม่เกิดเพราะ "สุเทพ"

 

 

 

"จตุพร" ห่วงเลือกตั้งไม่เกิดเพราะ "สุเทพ"

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ