ข่าว

อดีต ส.ส. ตบเท้าให้กำลังใจ "มาร์ค" ชิง หน.ปชป.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"องอาจ" นำอดีต ส.ส.กทม. ตบเท้าให้กำลังใจ "มาร์ค" ชิงเก้าอี้ หน.ปชป. โยน กกต. ดูเพื่อไทยแตกสาขาพรรคเข้าข่ายฮั้วหรือไม่

               9 ต.ค. 61 เมื่อเวลา 09.45 น. ที่ พรรคประชาธิปัตย์  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มอดีต ส.ส. กทม. นำโดย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาให้กำลังใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง พร้อมประกาศสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอดีต ส.ส. ที่ลงนามรับรอง นายอลงกรณ์ พลบุตร ให้ลงสมัครหัวหน้าพรรคมาร่วมด้วย คือ นายกรณ์ จาติกวนิช และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก

 

 

 

               ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงคำขวัญที่โพสต์ผ่านแอคเคานท์ไลน์แอด ที่มีข้อความว่า Make My Mark ว่าเป็นข้อความของคนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยจัดทำเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งมีหลายความหมาย ที่ไม่เกี่ยวกับชื่อตน แต่หมายถึงการมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หมายถึงการสนับสนุนตนทำหน้าที่คือ การมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คนในประเทศรอคอยทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง

               ส่วนถ้าเล่นคำว่า Mark เป็นชื่อเล่นตน ก็เป็นการสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยมือของตัวเอง และสร้างพรรค รวมถึงสร้างใหม่ประเทศไทย ซึ่งการเปิดกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับพรรคการเมืองไทย และทำให้เกิดความชัดเจนเรื่องจุดยืนของพรรค ซึ่งตนอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากปัญหาการไม่เป็นประชาธิปไตยและการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งนี้ การแข่งขันภายในพรรคเป็นกระบวนการที่คนภายนอกสนใจว่าเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ทำให้หลายคนสนใจอยากมีส่วนร่วม ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

               นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่มองว่าการแข่งขันมีความขัดแย้งนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เชื่อว่าประชาชนมองว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปจะมีการตั้งคำถามกับพรรคการเมืองอื่นว่าเหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ และยอมรับว่าการเปิดกว้างให้มีการหยั่งเสียงมีความเสี่ยงสำหรับหัวหน้าพรรคของตนในอนาคต แต่ตนไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างระบบจะกลัวความเสี่ยงไม่ได้ เพราะถ้ากลัวจะสร้างอะไรใหม่ๆ ไม่ได้เลย

 

 

 

               นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนที่ตนพูดที่จังหวัดสงขลาว่าอายุ 54 ปีแล้ว ไม่เกรงใจใครแล้ว ก็หมายความอย่างที่ตนพูด เพราะตลอดการทำงานการเมือง 26 ปี ที่ผ่านมา ก่อนจะทำอะไรต้องมีความระมัดระวัง แต่ตนมาทำการเมืองด้วยความเชื่อ และอุดมการณ์ พร้อมกับความฝันว่าอยากได้ประเทศไทยอย่างไร และเคยได้รับโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังทำไม่ได้ เพราะเป็น นายกฯ พร้อมกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์บ้านเมืองที่ปั่นป่วน แต่ก็กอบกู้วิกฤตและเริ่มต้นบางอย่างได้ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง ตนรู้ว่าอายุขนาดนี้แล้วการจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริงไม่มีเวลามากแล้ว จึงต้องทำ ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลใจ หรือเกรงใจใครอีกต่อไป เพราะนี่คือโอกาสใหม่ และโอกาสเดียวที่จะทำให้ตนผลักดันความฝันให้เป็นจริงได้

               “ตลอด 26 ปี ทางการเมืองผมได้ทบทวนทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง เรื่องความเกรงใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากกการทบทวนตัวเอง และตั้งใจที่จะทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากปัญหาตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการ และหล่มทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองคือแม้จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ประวัติของผมยืนยันได้ว่าไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ตัวเอง ของจากผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ และเป็นความเชื่อจากใจที่สุจริตของผมในการทุ่มเท ทำให้มีความพร้อมที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว 

 

 

 

               เมื่อถามถึงกรณีที่การวิเคราะห์ว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ไม่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์พรรคที่เปลี่ยนไปด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครหัวหน้าพรรคคนอื่นว่ามีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง

               “หลังการเลือกตั้งผมเคยบอกแล้วว่าไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่าจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่าง จากทั้ง คสช. และพรรคเพื่อไทย เราจะเป็นทางหลักของประเทศไทยไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่าไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร เพราะไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นทางหลักคือเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา และมีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบหลังการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธ์ กล่าว

               เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยตั้งพรรคสาขาเป็นนอมินีทางการเมือง นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์จะทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมาไม่มีคิดเรื่องระบบแตกสาขา เพราะต้องตรงไปตรงมากับประชาชน เปิดเผย และโปร่งใส นี่คือทางเลือกที่เราเสนอให้ประชาชน ไม่ว่าใครจะออกแบบระบบอย่างไร ใครจะใช้เล่ห์กลเพื่อหลีกเลี่ยงระบบอย่างไร ประชาชนจะเป็นคนชี้ว่าจะให้พรรคการเมืองไหนใหญ่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกเสียงมีความหมาย แต่ กกต. ที่เป็นผู้รักษากฎหมายต้องไปดูเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าการมีพรรคนอมินีผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะในกฎหมายมีเจตนารมณ์ค่อนข้างห้ามชัดเจน ไม่ให้พรรคการเมืองไปฮั้วกัน

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ