ข่าว

นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บิ๊กตู่เปิด "ประชารัฐสวัสดิการฯ" ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา ซัดรัฐบาลก่อนๆไม่ตอบสนองความต้องการปชช.ที่แท้จริง เตือน ดูตัวอย่าง 7 ประเทศใช้ประชานิยมจนทุกอย่างพัง

 

           1 ส.ค.61-ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เป็นประธานเปิดโครงการประชารัฐ สวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเปิดตัวโครงการใช้โทรศัพท์มือถือรับชำระเงินจากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน"ถุงเงินประชารัฐ"โดยเป็นความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยเหลือร้านค้าโชวห่วยและผู้ค้ารายย่อย โดยมีผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน

 

 

            นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

          ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า การจัดงานวันนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการทำงานที่ต้องร่วมมือกันในลักษณะของประชารัฐ เพื่อช่วยกันพัฒนาและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน วันนี้ทุกคนทราบดีว่าเรากำลังเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยที่รัฐบาลยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในทุกๆด้าน โดยมีประเทศเป็นส่วนสำคัญ ทุกคนจะได้เห็นอนาคตของตัวเอง ที่ผ่านมาการทำงานของทุกๆ รัฐบาลตอบสนองแค่เป็นรายปี ซึ่งอาจไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง        

       นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

          "เพราะฉะนั้นที่กล่าวกันว่างานการเมือง หรือประชาธิปไตย ก็จะต้องมองประชาชนเป็นศูนย์กลางของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำในวันนี้ ยืนยันว่าเป็นไปตามกรอบของงบประมาณ หลายคนต้องการงบประมาณจำนวนมากขึ้น หรือต้องการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งจุดนี้เราอย่าลืมรายได้ของประเทศด้วยที่จำเป็นต้องใช้หลายอย่าง สิ่งที่จำเป็นคือการลงทุนประเทศ เพื่อประชาชนทุกคนและทุกกลุ่มรายได้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้กับทุกคนตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ทรงสานต่อในเรื่องเหล่านี้ เราจึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" นายกฯ กล่าว

         นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

          นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่ผ่านมาได้มีการตั้งร้านค้าประชารัฐในหลายพื้นที่ ถือเป็นการทำงานในระยะที่1 มีการกำหนดรายได้ขั้นต่ำ ค่าใช้จ่ายแต่ละปีซึ่งถ้ารัฐบาลไม่ลงไปช่วย ก็คงอยู่กันไม่ได้ แม้การดำเนินการจะไม่ได้ถึง 70 ล้านคนของประชากรที่มี แต่ก็ได้มากถึง 11.4 ล้านคนในขณะนี้ รัฐบาลต้องคิดและแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบไม่ใช่คิดแต่จะให้อย่างเดียว ถามว่าแล้วจะเอาที่ไหนมาให้กันตลอด เมื่อรายได้ของประเทศมีอยู่เท่านี้ เราไม่เคยไปรบกวนประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มารายได้น้อย และผู้ที่อยู่ในระบบภาษี แม้บางคนจะไม่ได้เสียภาษีในจุดนี้แต่อย่าลืมว่าเราจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ รัฐบาลเองก็ชะลอการขึ้นภาษีVAT มาหลายปีแล้ว ซึ่งตามกฎหมายจะต้องขึ้นทุกปี แต่รัฐบาลก็ใช่มติครม. เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน อยากให้เข้าใจว่า ทุกๆอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ หรือ พ.ร.บ.การเงินการคลัง เพราะฉะนั้นในวันข้างหน้าใครจะมาบอกว่า จะทำโน้นทำนี่ให้ โดยไม่บอกว่าจะเอาเงินมาจากไหน ต้องพิจารณาให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาของประเทศ

          นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

          นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เราจำเป็นต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุล เพราะเราไม่มีรายได้ที่เกินดุล และ 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่างๆจำนวนมากโดยเฉพาะการสร้างถนนหนทาง มีกว่าหลายพันกิโลเมตร มีทางรถไฟรางคู่อีกหลายเส้นทาง ทุกอย่างต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อย เพราะรู้ดีว่า ความจนมันลำบาก และเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง สาเหตุของการบิดเบือน ทำให้บ้านเมืองเกิดความระส่ำระส่าย วันนี้ต้องพิจารณาว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลนี้ทำอะไรไปบ้าง อาจจะถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่อย่าลืมว่า ไอ้ที่ไม่ถูกใจแต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ เพราะมีกฎหมายบังคับอยู่ ตราบใดที่ทำได้และพอใจก็ต้องร่วมมือกัน การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลต้องระมัดระวัง เพราะทุกอย่างเป็นกฎหมาย จึงอยากขอร้องว่าอะไรดีก็ให้แนะนำมา แม้เราจะไม่พร้อมที่จะทำในวันนี้ แต่ก็ต้องมีความพร้อมในวันข้างหน้า

       นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

          "ทุกคนจึงจำเป็นต้องฟังสิ่งที่รัฐบาลพูด หลายคนไม่ชอบฟังอะไรทั้งสิ้น ชอบไปอ่านข้อความสั้นๆ ในโทรศัพท์บ้าง ในโซเชียลมีเดียบ้าง เพราะมันสั้นดี แต่เนื้อหาสั้นๆเหล่านั้นมันกินใจ ซึ่งมีสองอย่างด้วยกันคือ ทำให้เกิดความรักสามัคคี หรือ ทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งพวกแบ่งฝ่าย ข้อความส่วนใหญ่เหล่านี้มักจะอยู่ในโซเชีลมีเดีย ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นทุกคนจึงต้องมีภูมิคุ้มกันของตัวเอง ดูให้ละเอียดรอบคอบ และถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปเชื่อ แต่ถ้าไม่ยอมฟังอะไรเลย ไม่ยอมฟังรัฐบาลหรือกระทรวงพาณิชย์พูด ก็จะขัดแย้งไปทั้งหมด เพราะอย่าลืมเรามีคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย มีทั้งคนดีและไม่ดี ดังนั้นถ้าเราไปฟังคนไม่ดีมากๆ ก็จะทำให้กิจการที่ทำในวันนี้ล่มไป เดินหน้าต่อไปไม่ได้ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ถ้ารัฐบาลต้องอุดหนุนทุกอย่าง ทุกประเทศก็อยู่ไม่ได้ ก่อนหน้านี้มี7 ประเทศ เคยมีรายได้สูง ประเทศพัฒนาแล้วแต่รัฐบาลใช้วิธีการประชานิยมที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี มีการใช้จ่ายที่เกินตัวเพื่อตอบสนองความต้องการประชาชน เพื่อหวังผลทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นอันตราย7ประเทศที่กล่าวล้มละลายลงไปแล้ว ทุกอย่างล้มลงทั้งหมด ระบบการเงินการคลัง เงินเฟ้อ แม้บางประเทศจะมีรายได้จากการขายน้ำมันก็ย่ำแย่เพราะรัฐบาลให้ทุกอย่าง เพื่อรักษาอำนาจในการเป็นรัฐบาล แต่รัฐบาลนี้ของผมไม่ต้องการ รัฐบาลนี้ต้องารวางพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคน และไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลต่อไป ถ้าทุกคนคิดว่าดีก็ช่วยกันสานต่อ" นายกฯ กล่าว

     นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

          "บิ๊กตู่" โอด "ร้านค้า" ไม่เข้าระบบภาษี รังแกรบ.หรือไม่ แขวะรายได้หลายล้าน ไม่จ่ายภาษี ถาม ทำไมไม่ช่วยเสียสละ ระบุ ถ้าอยากมีความเป็นอยู่ดี แต่ไม่อยากเสียภาษี เป็นหลักคิดผิด

           วันนี้ร้านค้าประชารัฐ หลายคนกังวลเรื่องระบบภาษี จึงได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะกลัวสรรพากรไปตรวจสอบ ถามว่าทำไมต้องกลัว ถ้ากลัวแบบนี้จะเข้าระบบอะไรไม่ได้ แล้วจะพัฒนาตัวเองไปได้อย่างไร ให้จดทะเบียนเข้าระบบภาษีก็ไม่เอา กลายเป็นว่ารัฐบาลนี้รังแก ถามว่าที่ผ่านมา รังแกรัฐบาลหรือไม่ มีรายได้หลายล้านบาทต่อปี แต่กลับไม่เสียภาษี การเสียภาษีจริงๆแล้วไม่กี่บาท ทำไมไม่ช่วยกันเสียสละตรงนี้ รัฐบาลไม่สามารถที่จะไปเพิ่มหรือกำหนดภาษี ได้ในเวลานี้มันทำยากเพราะหลายอย่างยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ จะต้องสร้างความเข้มแข็งด้วยกฏหมายและระบบก่อน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและมีช่องทางมีโอกาส ในการเข้ามาค้าขาย ขณะเดียวกันทุกคนต้องตอบแทนประเทศ ด้วยการเข้าสู่ระบบภาษี ถ้ามีรายได้ไม่ถึง 300,000 บาทต่อปี ก็ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่ข้าราชการก็ต้องเสียภาษี ตนเองก็เสียภาษีมาตั้งแต่เด็ก วันนี้ก็ยังเสียอยู่ ถ้ารายได้เราเกินกว่าที่กำหนดไว้ก็ต้องเสียภาษี ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ

           ถ้าทุกคนต้องการสาธารณูปโภคและความเป็นอยู่ที่ดีแต่กลับไม่อยากเสียภาษี แบบนี้หลักคิดผิด สิ่งที่ตนพูดต้องการจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนและประเทศ วันนี้เราอยู่ในช่วงโอกาสบ้านเมืองสงบสุข ซึ่งสงบสุขมา4ปีแล้ว ลืมไปหรือยัง ถ้าบ้านเมืองสงบเราก็สามารถทำอะไรต่างๆ เพื่อพัฒนาบ้านเมืองได้ และสิ่งที่รัฐบาลทำก็ต้องใช้เงินใช้ทองในการลงทุน ถ้าเราสามารถคืนตรงนี้ได้ ก็จะสามารถนำเงินกลับมาให้ตรงอื่น ซึ่งยังมีอีกหลายอาชีพอิสระอีกมากมายที่มีรายได้ต่ำ รัฐบาลต้องดูแล หากทุกคนเข้าสู่ระบบ ปฏิบัติตามกฏหมาย เราก็จะสามารถดูแลจัดสรรประมาณลงไปได้ 

 

             นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา       

 

          นายกฯ กล่าวว่า วันนี้การค้าการลงทุนต่างๆของประเทศ ดีขึ้นเพราะเขามีความเชื่อมั่นในรัฐบาลนี้ไม่ต้องรอรัฐบาลหน้า ต่างประเทศยินดีที่จะมาลงทุนทำการค้าในประเทศมากขึ้น วันหน้าถ้าเราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มันก็ต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามาล้มกันตอนนี้ มันจะไปกันไม่ได้ แล้วคิดว่าจะเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ วันนี้เราเริ่มต้นมา4ปี หลายอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเราแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียว เช่นการช่วย 13 ชีวิตทีมหมูป่า สิ่งเหล่านี้เราไม่จำเป็นต้องโฆษณาหรือเล่าอะไรมากมายมันเป็นเรื่องจริง ตนไปทุกประเทศเขาชื่นชมประเทศไทย เพราะแสดงความเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นเอกภาพของเรา นั่นคือความภาคภูมิใจเราของ แล้วทำไมเราไม่ทำให้คนของเราเป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ในการที่จะเดินหน้าสานฝันของพวกเรา ไปสู่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เคยมีใครพูดแบบนี้ไหม กลับไปคิดทบทวนดูหรือจะแค่รอฟังว่า จะให้นู้นจะให้นี่ ขอถามว่ายั่งยืนหรือไม่ 

 

"บิ๊กตู่" เผย อย่าโทษ "คนรวย" ชี้ เหตุ ที่รวยกันมาก เพราะการค้าทุนเสรีเอื้อ ระบุ โลก "ประชาธิปไตย" เป็นแบบนี้ ปลุก คนไทย ต้องเข้มแข็ง สู้ให้ได้ 

           พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าเราโทษว่าคนรวย ทำไมถึงรวยกันมากอย่าลืมว่าเรามีการค้าแบบทุนเสรี ก็เป็นทั้งโลกประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ผูกขาด เป็นไปตามกลไกการค้าเสรีของโลก เราจะต้องเข้มแข็งสู้กับเขาให้ได้ ไม่ใช่หยุดตัวเองแล้วรอการช่วยเหลือตลอดเวลา จนไม่มีวันที่จะลืมตา อ้าปากตัวเองได้ แล้วก็โทษกันมันก็ไปไม่ได้ ประเทศต้องไปด้วยคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย และขอบอกว่ารัฐบาลไม่ได้เอาภาษีแวตมาใช้ เพราะส่วนใหญ่ เป็นภาษีคืนสู่ท้องถิ่น เพราะเราตัดสินใจแล้วว่าจะมีท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นเก็บภาษีได้ประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่ต้องใช้ประมาณ 300,000 ล้านบาทต่อปี รัฐบาลก็ต้องนำงบกลางจากภาษีส่วนอื่นไปเติมอีก 260,000 ล้านบาทต่อปี เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนร่วมมือ สร้างความเข้มแข็งและอดทน มันจะดีขึ้นมาเอง 

 

        นายกฯ เผย ยึดปชช.เป็นศูนย์กลางพัฒนา

"บิ๊กตู่" เตือน "คนไทย" อย่าเรียกร้องกันมาก จะมีคนเอามาให้ แล้วก็ผิด ซัด "จำนำข้าว" นึกจะตั้งราคาก็ตั้ง ระบุ กม.ให้ความเป็นธรรม ใครไม่สู้คดีก็แล้วไป ลั่น "ปชต." ต้องตั้งให้ตรง ทำให้เข้มแข็ง 

            พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า "ถ้ามัวแต่บ่นและเรียกร้องกันมาก เสร็จแล้วก็จะมีคนมาให้ท่าน แล้วมันก็ผิด พอผิดมาก็เดือดร้อน ก็ต้องหยุด หลายอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะเคยมีคนให้อะไรท่านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขายสินค้าเกษตร มันให้อย่างนั้นไม่ได้ วันนี้รัฐบาลให้ก็ต้องดูในเรื่องของกติกา กฎหมายว่าอย่างไร ราคาการรับจำนำข้างยุ้งฉางเป็นอย่างไร 3 ปีเฉลี่ยอย่างไรถึงจะตั้งราคาได้ ไม่ใช่นึกจะตั้งอะไรก็ตั้งออกมา มันผิดไปทั้งหมดและผิดกลไกการค้าโลกด้วย สิ่งเหล่านั้นเราพอใจแต่ประเทศชาติเสียหาย ผมไม่อาจไปกล่าวอ้างใคร เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะว่ามา ตั้งแต่ผมเข้ามายังไม่เคยสั่งให้ลงโทษใคร แม้ผมจะมีอำนาจมากก็ตาม ผมเพียงแต่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ ถ้าไม่ทำก็ลงโทษ ซึ่งต้องมีหลักฐานทางกฎหมายให้ความเป็นธรรม ให้มีการสู้คดี ใครไม่สู้ก็แล้วไป กฎหมายเป็นอย่างนี้ รัฐบาลระมัดระวังทุกอย่าง จึงอยากฝากไปถึงนักการเมือง พรรคการเมืองต้องระมัดระวังการหาเสียงในอนาคต วันนี้ผมไม่ได้มาพูดการเมือง แต่พูดถึงประเทศที่จะอยู่อย่างไรในอีก 20 ปีข้างหน้า เพื่อลูกหลานของเรา ถ้าโครงสร้างเศรษฐกิจไม่เข้มแข็งก็จะเดือดร้อนไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็จะล้มลงมาทั้งหมด เหมือนประชาธิปไตยเรา ล้มโอนเอนไปโอนเอนมาอยู่อย่างนี้ เราก็ตั้งมันให้ตรงเท่านั้นเอง สร้างให้มันเข้มแข็งขึ้น นั่นคือประชาธิปไตยไทยเรา เราจะต้องดูแลคนของเรา ถ้าเรามองประชาธิปไตยเหมือนโลกตะวันตกทั้งหมด ที่เห็นเขาดี ต้องไม่ลืมว่ากว่าเขาจะมีวันนี้ ต้องเจออะไรมาบ้าง อาจจะเจอยิ่งกว่าเรา มีการสู้รบ แต่วันนี้เขาไม่มีเพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา จึงลดความขัดแย้งให้มากที่สุด แต่ของเราพยายามจะสร้างกันไปเถอะ เรายังไม่เคยเจอชะตากรรมแบบนั้น สู้รบสงครามกลางเมืองตายเป็นล้านๆคน เราไม่เคยเจอ เราไม่ต้องไปรบกับใคร และไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีความสุขมาโดยตลอด รัฐบาลจึงต้องทำอะไรให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าให้ถึงเวลาที่จะต้องมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นแล้วถึงจะมาร่วมมือร่วมใจกัน มันไม่ใช่ มันต้องร่วมมือกันในยามสงบสุขแบบนี้ ไม่เช่นนั้นจะเดินหน้าไปไม่ได้" นายกฯ กล่าว

 

 

 

////

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ