ข่าว

จับแก๊งค้าอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์จ้องป่วน"อยากเลือกตั้ง"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตร.รวบแก๊งค้าอาวุธสงคราม "ศรีวราห์" โยงแดงฮาร์ดคอร์ก่อเหตุรุนแรงผสมโรงป่วนม็อบอยากเลือกตั้ง แฉอาวุธเคยนำมาก่อเหตุเมื่อปี 53 กกต.เดินหน้าสรรหา ส.ว.

     ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสและสกัดกั้นกลุ่มหัวรุนแรงเตรียมแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุเพื่อป่วนสถานการณ์ในการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้จับกุมกลุ่มผู้ต้องหาค้าอาวุธสงครามที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพยายามก่อเหตุรุนแรงทางการเมืองและขยายผลไปถึงผู้เกี่ยวข้องรายอื่น

     เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะ ได้รับมอบตัวผู้ต้องหาคดีเครือข่ายค้าอาวุธสงคราม จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายวิชาญ รักชาติ อายุ 34 ปี ชาวพระนครศรีอยุธยา, นายวินัส ปริกเพชร อายุ 34 ปี ชาวเชียงราย, น.ส.ประคองศรี ศิริมั่น อายุ 39 ปี ชาวนครราชสีมา, นายสมบัติ แก้วสุข อายุ 29 ปี ชาวตาก และนายประดิษฐ์ทอง ชัยปัญหา อายุ 58 ปี ชาวหนองคาย จากเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อดำเนินคดีต่อหลังควบคุมตัวได้ พร้อมอาวุธปืนพกสั้น 18 กระบอก ปืนยาว 5 กระบอก เครื่องกระสุนกว่า 3 หมื่นนัด ระเบิดชนิดขว้าง 7 ลูก อะไหล่และโครงปืนเอ็ม 16 กว่า 100 ชิ้น

จับแก๊งค้าอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์จ้องป่วน"อยากเลือกตั้ง"      

     ทั้งนี้ นายวิชาญถูกจับที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเครือข่ายขบวนการซื้อขายอาวุธสงครามใน จ.เชียงราย และสระบุรี ซึ่งเกี่ยวพันกับกลุ่มคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ โดยซื้อขายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ก่อนจะมีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง

     พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 คนมาจากการขยายผลจับกุมนายพงค์พัฒน์ ใจอินต๊ะ ผู้ต้องหาชาวเชียงรายที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ จากการสอบปากคำเบื้องต้นทั้งหมดยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ และมีการสั่งซื้ออาวุธสงครามจริง โดยนายวิชาญอ้างว่ามีการติดต่อขอซื้ออาวุธผ่านทางไลน์จากบุคคลหนึ่งแล้วนำไปขายต่อให้แก่ผู้ต้องหาอีก 4 คน ยอมรับว่ามีการซื้อขายมาแล้ว 3-4 เดือน เบื้องต้นจากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดยังคงให้การปฏิเสธและยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์แต่อย่างใด

     “จากตรวจสอบทางการข่าวพบว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้มีความเกี่ยวข้องและเตรียมนำอาวุธมาก่อเหตุในช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ยืนยันว่าการจับกุมอาวุธและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ ไม่ได้เป็นการจัดฉากแต่อย่างใด เนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจนซึ่งเชื่อว่ายังมีอาวุธสงครามกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก โดยการจับกุมครั้งนี้เป็นเพียง 1 ใน 3 ของอาวุธที่มีอยู่ทั้งหมดเท่านั้น” พล.ต.อ.ศรีวราห์ระบุ 

     รองผบ.ตร. กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบอาวุธของกลางพบว่าเคยมีการนำมาใช้ก่อเหตุในปี 2553 ประมาณ 15 เหตุการณ์ เนื่องจากมีเลขนัมเบอร์ตรงกัน ซึ่งได้สั่งการให้ตรวจสอบว่าตรงกับเหตุการณ์ใดและได้สั่งการให้ตรวจสอบเป็นพิเศษสำหรับพื้นที่อิมพิเรียล ลาดพร้าว และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เนื่องจากทราบว่ากลุ่มแดงฮาร์ดคอร์มีการเคลื่อนไหวและอาจเข้าไปแฝงตัวในบริเวณดังกล่าว

จับแก๊งค้าอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์จ้องป่วน"อยากเลือกตั้ง"

บิ๊กป้อมสั่งฝ่ายมั่นคงเข้มเว็บบิดเบือน

     พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานความมั่นคงติดตามดูแลการให้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จและมีลักษณะบิดเบือน รวมทั้งข้อมูลที่สร้างความโกรธ เกลียดชังกันในสังคม ซึ่งปัจจุบันมีมากขึ้น โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หากพบข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก หรือเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

     พล.ท.คงชีพ กล่าวย้ำว่า โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ที่มีหลากหลายลักษณะ ทั้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน มีการบิดเบือน ตัดต่อเชื่อมโยงทั้งภาพและข้อมูล การสมอ้างคำพูด โดยพยายามสร้างความสนใจ นำเสนอในลักษณะเอามัน ใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด เหยียดหยามให้เกิดอารมณ์โกรธเกลียดชังกันในสังคม ซึ่งเป็นความกังวลร่วมกันของสังคม ที่ประชาชนทยอยให้ข้อมูลแก่ฝ่ายความมั่นคง

     พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูลความเป็นจริงผ่านสื่อต่างๆ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวม ประชาชนสามารถรับรู้ความเป็นจริงได้อย่างครบถ้วน สำหรับการตัดสินใจและนำไปใช้อย่างสร้างสรรค์ หากแต่การนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือน มีเจตนาให้ร้าย สร้างความโกรธเกลียดกันในสังคม จะเป็นปัญหากระทบต่อส่วนรวมและมีความผิดตามกฎหมาย

     “จึงขอย้ำเตือนไปยังบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่อาจไม่มีเจตนา หรือมีเจตนากระทำการดังกล่าว อันอาจกำลังก้าวล่วง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้ตระหนักถึงผลกระทบทางกฎหมายที่จะตามมา พร้อมกันนี้ ขอความกรุณาประชาชนทุกคน ได้ใช้ดุลพินิจในการรับข้อมูลข่าวสาร และร่วมกันติดตามและแจ้งแหล่งที่มาของข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่สร้างความเสียหายแก่ส่วนรวมและประเทศชาติให้เจ้าหน้าที่รัฐทราบร่วมกัน” พล.ท.คงชีพ กล่าว

คสช.แจ้งจับเว็บใส่ร้ายบิ๊กตู่ด่าคนไทย

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย ส่วนงานการรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ดูแลเว็บไซต์ http://ratstas.com/ratstas.com/1233 ซึ่งมีการโพสต์ข้อความ “บิ๊กตู่ ฟิวขาดด่ากราดประชาชนไล่ให้เติมน้ำเปล่า แทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก” อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดการตื่นตระหนกแก่ประชาชน โดย พ.อ.บุรินทร์ ได้นำเอกสารหลักฐานต่างๆ เป็นสำเนาหน้าเว็บไซต์ และเอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวน 12 แผ่น มอบให้แก่พนักงานสอบสวนเพื่อนำไปประกอบสำนวนในการดำเนินคดีต่อไป

ทนายสุเทพจดตั้งพรรคยึดแนวกปปส.

     ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันเดียวกัน นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทนายความของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) พร้อมด้วยนายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ อดีตเลขาธิการกลุ่มกรีน(Green Politics) เข้ายื่นจดแจ้งชื่อพรรค “รวมพลังประชาชาติไทย” (รปช.) พร้อมรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้ง 32 คน ต่อกกต. 

     นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้งนั้น มีชื่อของนายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ รวมอยู่ด้วย แต่ในขณะนี้ยังไม่มีชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง ตามกระแสข่าวที่มีการระบุว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มได้มีการยื่นขออนุญาต คสช. เพื่อที่จะจัดการประชุมผู้ก่อตั้งและแถลงเปิดตัวพรรค โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ที่บริเวณสวนลุมพินี 

     นายทวีศักดิ์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจะเป็นทนายความของนายสุเทพ แต่ขอยืนยันว่าไม่ใช่นอมินีของนายสุเทพ เพราะตนอายุกว่า 75 ปีแล้ว ไม่มีใครสามารถสั่งได้ ส่วนสาเหตุที่เพิ่งเดินทางมาจัดตั้งพรรคนั้นขอยืนยันว่าไม่มีนัยอะไร แต่ยอมรับว่าการจัดตั้งพรรคครั้งนี้มีการปรึกษานายสุเทพ และในอนาคตอาจจะเชิญนายสุเทพมาร่วมเป็นสมาชิกพรรค อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่านายสุเทพจะไม่เข้ามานั่งเป็นผู้บริหารพรรค เพียงแต่อาจจะช่วยให้คำปรึกษาเท่านั้น ส่วนสัญลักษณ์ของพรรคเป็นสีธงไตรรงค์ มีสีขาว แดง น้ำเงิน วงกลมเป็นรูปคล้ายธรรมจักรที่สะท้อนว่าพรรคจะเชิดชูคุณธรรม จริยธรรม และมีสัญลักษณ์มือโอบอุ้มรอบวงกลมที่คล้ายธรรมจักร เป็นการสื่อให้เห็นถึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปในด้านต่างๆ 

จับแก๊งค้าอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์จ้องป่วน"อยากเลือกตั้ง"

     “พรรคนี้จึงไม่ใช่พรรคของ กปปส. หรือเป็นพรรคสาขาของพรรคประชาธิปัตย์ แต่จะเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง มุ่งเรื่องการปฏิรูปประเทศ ซึ่งก็เป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน จากการชุมนุมที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองมักมีแต่พรรคของเจ้าของพรรค และผู้มีบารมีเท่านั้น” นายทวีศักดิ์ กล่าว

“พิเชษฐ”ตั้งพรรคประชาธรรมไทย 

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเดียวกันของวันนี้ (25 พ.ค.) นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และคณะ ยังได้เข้ายื่นจดทะเบียนพรรคประชาธรรมไทยเป็นพรรคการเมืองด้วย โดยตั้งเป้าหมายที่จะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภายใต้ 

     นายพิเชษฐบอกด้วยว่า พร้อมเข้าร่วมหารือกับ คสช. หากมีการเชิญพรรคการเมือง โดยหวังว่าในการประชุมดังกล่าว จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งพรรคพร้อมที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว เห็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ปากท้อง และเชิงสังคม จึงต้องการมาแก้ไข ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าตนเคยทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย ในสมัยที่ยังเป็นพรรคไทยรักไทยนั้น ยอมรับว่าได้ทำงานร่วมกับพรรคและบุคคล อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยม แต่การร่วมงานการเมือง หรือเป็นพันธมิตรด้วยกันหลังจากนั้นต้องขอพิจารณาในแนวทางที่ไปด้วยกันได้ ทั้งนี้ตนไม่ปิดกั้นการเป็นพันธมิตรกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และแนวทางเดียวกัน

เชื่อสุเทพตั้งพรรคไม่กระทบเพื่อไทย

      นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยื่นจดแจ้งชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทยว่า ความจริงนายสุเทพประกาศมาตลอดว่าจะไม่เล่นการเมือง ไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง แต่การมอบหมายให้ทนายความของตัวเองไปจดทะเบียนก่อตั้งพรรค ประชาชนก็มีสิทธิ์ตั้งคำถามได้ว่า แบบนี้ถือเป็นการเล่นการเมืองหรือไม่ ถือเป็นการพูดอย่างทำอย่างมาตลอดหรือไม่

     นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาบอกปัดว่า ไม่ใช่พรรค กปปส. แต่การกระทำดังกล่าวชัดเจนว่า ใครพูดอย่างทำอย่าง ใครพูดความจริง ใครปกปิดอำพรางเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองหรือไม่ 

     “การตั้งพรรคของนายสุเทพ จะไม่กระทบกับพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน แต่อาจจะกระทบกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะฐานคะแนนของ กปปส. กับพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นฐานเดียวกัน ขอเพียงว่า ให้ตกลงกันให้ชัดและประกาศให้ประชาชนมั่นใจว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งหน้าจะให้ใครรับบทบอยคอตการเลือกตั้ง แล้วจะมีการชัตดาวน์ประเทศก่อจลาจลล้มและขัดขวางการเลือกตั้งอีกหรือไม่ ซึ่งถ้าประชาชนขอได้ก็ขออย่าชัตดาวน์ประเทศอีกเลย เพราะประเทศเสียหายและบอบช้ำมามากแล้ว” นายอนุสรณ์ กล่าว

เล็งสรรหาส.ว.หลังก.ม.บังคับใช้ใน1เดือน

จับแก๊งค้าอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์จ้องป่วน"อยากเลือกตั้ง"

     ด้านนายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ว่า สำนักงาน กกต.ได้ยกร่างระเบียบรองรับแล้ว รอแค่ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ก็จะออกระเบียบได้ทันทีเพื่อเตรียมการให้ได้มาซึ่ง ส.ว. ทั้งนี้ที่มาของ ส.ว.มาได้สองทาง คือ มาจากการสมัครอิสระ และองค์กรนิติบุคคลส่งสมัคร ซึ่งเมื่อกฎหมายส.ว.และระเบียบที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับแล้ว ก็จะมีการประกาศให้องค์กรวิชาชีพที่เป็นนิติบุคคลมาลงทะเบียนกับ กกต. รวมทั้งเมื่อพระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก็ประกาศวันสมัคร และเริ่มกระบวนการเลือกทั้งในระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ ก่อนที่จะส่ง 200 รายชื่อให้ คสช.คัดเลือกเหลือ 50 คน คาดว่าภายในหนึ่งเดือนหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ก็จะเห็นกระบวนการเลือก ส.ว.ใหม่ได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการดำเนินการนั้นจะแล้วเสร็จทันตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด

     นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ส่วนการแก้ไขคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ที่ กกต.เสนอให้มีการแก้ไขนั้น ขณะนี้ คสช.ได้ส่งร่างแก้ไขมาที่ กกต.แล้วแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีการแก้ไขในประเด็นใดบ้าง ส่วนประเด็นที่แก้ไขนั้นก็เป็นเรื่องที่กกต.ได้ท้วงติงไป ซึ่งหากมีการแก้ไขตามนั้นก็น่าจะแก้ปัญหาของพรรคการเมืองได้ ส่วนจะแก้ไขเมื่อไหร่เป็นหน้าที่ของ คสช. ซึ่ง กกต.ไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงได้ ส่วนที่คสช.เตรียมจะเชิญพรรคการเมืองเข้าหารือนั้น ทางกกต.ก็จะเดินทางไปร่วมประชุมด้วย แต่คงไม่ได้ให้คำแนะนำเพราะเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น อีกทั้งก็ยังไม่ทราบว่าจะมีการประชุมเมื่อใด ส่วนที่มีกระแสข่าวที่ว่าพรรคการเมืองอาจไม่สะดวกใจหาก คสช.เป็นผู้เชิญประชุม ซึ่งหาก คสช.จะมอบให้ กกต.เป็นเจ้าภาพเชิญพรรคการเมืองประชุม ก็ยินดี

เริ่มนับ1โรดแม็พหลังก.ม.10ฉบับมีผล

     เมื่อถามว่า หลายฝ่ายอาจจะมองว่าบทบาทของกกต. ในขณะนี้อยู่ภายใต้ คสช.หรือไม่ นายศุภชัย กล่าว ยืนยันว่ากกต.ไม่ได้ขึ้นกับ คสช. แต่ต้องดูว่าวันนี้บ้านเมืองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ซึ่งบุคคลที่มีอำนาจใช้มาตรา 44 คือ คสช. ดังนั้นเราก็ต้องทำตามกฎหมาย ทั้งนี้ยอมรับว่า กกต.มีหน้าที่รักษาการตามกฎหมายพรรคการเมือง แต่เมื่อมีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ทางกกต.ก็ไม่สามารถก้าวล่วงได้ จึงอยากให้ทุกคนต้องแยกกัน ส่วนการกำหนดวันเลือกตั้งนั้น ตามกรอบของรัฐธรรมนูญจะเริ่มต้นหลังจาก พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) มีผลบังคับใช้ โดยให้ดำเนินการเลือกตั้งภายใน 150 วัน อีกทั้งรัฐบาลจะเป็นผู้ประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จากนั้น กกต.จะเป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งตามกฎหมาย กกต.ไม่ต้องหารือใครก็ได้ แต่การหารือเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกพรรค ซึ่งการจัดการเลือกตั้งก็อาจจะใช้เวลาไม่ถึง 150 วันก็ได้ 

จับแก๊งค้าอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์จ้องป่วน"อยากเลือกตั้ง"

     นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้คำวินิจฉัยยังมาไม่ถึงสภา ศาลรัฐธรรมนูญต้องทำคำวินิจฉัยส่วนกลาง แล้วส่งมาให้สภาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เราอยากให้ทุกอย่างเร็วโรดแม็พจะได้เดินไปตามกำหนดเวลาที่คาดหมายไว้

     “เมื่อทุกฝ่ายได้ช่วยกันประสานงานและทำงานกันอย่างเต็มที่ ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญก็จะเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว อะไรที่ลัดขั้นตอนให้รวดเร็วขึ้นเราก็จะทำ และในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ก็จะทราบผลการวินิจฉัยร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งจะทำให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญครบ 10 ฉบับ จากนั้นสามารถเริ่มต้นนับหนึ่งได้ทันที” รองประธาน สนช. คนที่ 1 กล่าว  

ฉบับ นสพ.คมชัดลึก

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ