ข่าว

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม" ด้าน "บิ๊กป๊อก" ยันพี่ใหญ่แข็งแรงดี ส่วน"มาร์ค"เหน็บรัฐละเลง7ล.ทำ'ไลน์' ตีปี๊บผลงาน ขณะที่กกต.เร่งวางแผนรับเลือกตั้ง

          วันที่ 16 เมษายน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เปิดบ้านพักในซอยลาดพร้าว 71 เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อทำบุญเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ พร้อมทั้งให้ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักธุรกิจ เข้ารดน้ำดำหัว โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวเก็บภาพภายใน ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 และสน.โชคชัย และเจ้าหน้าที่ทหาร กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ตั้งแต่ปากซอยลาดพร้าว 71 พร้อมอำนวยความสะดวกการจราจรเนื่องจากมีรถยนต์ส่วนตัวของผู้มาร่วมงานจอดเป็นแนวยาวบนถนนทั้งสองฝั่ง

 

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

 

          ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  เดินทางมาพร้อมด้วยนางนราพร ภริยา เวลา 07.00 น. เข้ารดน้ำ พล.อ.ประวิตร ภายในบ้านพัก ก่อนออกมาพบปะและพรหมน้ำให้แขกที่มาร่วมงานรวมถึงสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวโดยบรรยากาศเป็นไปอย่างครึกครื้น

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอวยพรผู้สื่อข่าวว่า “ขอให้มีความสุขตลอดไปทำข่าวให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยขอให้ช่วยกันให้บ้านเมืองปลอดภัย ทั้งนี้ผมไม่ได้สอบถามอะไรเกี่ยวกับสุขภาพพล.อ.ประวิตร เพียงแต่ขอให้ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง”

          ส่วนพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่มาร่วมงานยืนยันว่าสุขภาพของพล.อ.ประวิตร แข็งแรงดี ซึ่งให้กำลังใจท่านทุกวันอยู่แล้ว

          ด้านพล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ มาร่วมพิธีสงฆ์ ก่อนรดน้ำและรับพรจากพล.อ.ประวิตร และพล.อ.ประวิตร ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันปีใหม่ไทย และท่านแข็งแรงดี สดใส แต่ยังไม่ได้คุยการทำงานของเหล่าทัพ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคณะรัฐมนตรีทหารที่มาร่วมรดน้ำและรับพรจากพล.อ.ประวิตร ประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม รวมทั้ง พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทสส. พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. พล.ร.อ.นริส กลิ่นปทุม ผบ.ทร. พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. รวมทั้งนายทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

 

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

 

จนท.ล็อกตัวปากซอยบ้านพัก

          ส่วนความเคลื่อนไหวนายเอกชัย หงส์กังวาล ที่ประกาศจะเดินทางมาร่วมรดน้ำสงกรานต์พล.อ.ประวิตร นั้น ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตาม ไปควบคุมตัวที่่หน้าบ้านพักย่านลาดพร้าวซอย 109 ตั้งแต่เช้าตรู่วันเดียวกัน  

          นายเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมชื่อดังได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ระบุว่า เวลา 08.30 น. วันนี้ (16 เม.ย.)  จะเดินทางพร้อมด้วยนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ไปร่วมรดน้ำสงกรานต์, จุดธูป 36 ดอกเพื่อดลให้เกิดสิ่งดีๆ ในปีนี้, มอบพวงมาลัยนาฬิกา และสีซอเพลงออเจ้าให้พล.อ.ประวิตร ฟังด้วยเพลง “ออเจ้าเอย” ที่บ้านพักของ พล.อ.ประวิตร  

          กระทั่งเวลาประมาณ 05.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.4 พร้อมด้วยกำลังตำรวจอีกจำนวนหนึ่งได้ไปเชิญตัวนายเอกชัยและนายโชคชัย ที่บริเวณหน้าปากซอยบ้านพัก ซอยรามคำแหง 109 ถนนรามคำแหง เขตบางกะปิ กทม. ขณะที่นายเอกชัยและนายโชคชัยกำลังออกจากบ้านพร้อมอุปกรณ์ปืนฉีดน้ำ กระเป๋าสะพาย โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเจรจา แต่นายโชคชัยวิ่งออกไปกลางถนนทำให้เจ้าหน้าที่เกรงว่าจะเกิดอันตรายจึงเชิญตัวทั้งสองไปที่กก.สส.บก.น.4 

          ต่อมาเวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าพูดคุยพร้อมอธิบายว่าวันนี้ไม่สมควรจะเดินทางไปทำกิจกรรมที่บ้านพล.อ.ประวิตร เพราะมีผู้ใหญ่ไปรดน้ำดำหัวเนื่องในวันสงกรานต์และเป็นการไม่สมควรในการจัดกิจกรรม ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตามนายโชคชัยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้จึงด่าทอเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งพยายามทำลายข้าวของภายในห้องสอบสวน

 

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

 

          ด้านน.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือทนายโบว์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “ได้คุยกับพี่โชคชัย ครั้งนี้ตำรวจกระทำรุนแรงและโบว์คิดว่าเรื่องจะไม่จบ จากคำบอกเล่าพี่โชคชัยกำลังยืนรอพี่เอกชัยที่ป้ายรถเมล์ใกล้บ้านพี่เอกเวลาเช้าตรู่เพื่อไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์รดน้ำดำหัวที่บ้านพล.อ.ประวิตร..ตอนนี้ทั้งคู่ถูกกักตัวอยู่ที่บกน.4 และโบว์จะตามไปดู แล้วเจอกันที่สน.หัวหมาก”

ตำรวจปล่อยตัวไม่ตั้งข้อหาอะไร

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากเชิญตัวนายโชคชัยไปที่กก.สส.บก.น.4 ได้แสดงท่าทางไม่พอใจพร้อมทำลายทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับความเสียหาย ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง จอทีวีคอนเฟอเรนซ์ รวมมูลค่าประมาณ 50,000 บาท จนต่อมา นายอานนท์ นำภา และน.ส.ณัฏฐา  มหัทธนา หรือทนายโบว์ ได้เดินทางมาที่กก.สส.บก.น.4 ก่อนเข้าไปด้านใน กระทั่งเวลา 11.00 น นายเอกชัย นายโชคชัย นายอานนท์ และน.ส.ณัฏฐา ได้ออกจากห้องสอบสวน

           โดยนายเอกชัย เปิดเผยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวมาและพูดคุยกันก็ปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่ไม่ติดใจเอาความที่นายโชคชัยทำคอมพิวเตอร์เสียหายเพราะเป็นของเก่าแล้ว อย่างไรก็ตามจะต้องมีการเคลื่อนไหวต่อแต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกครั้งที่มีการโพสต์ข้อความลงไปว่าจะไปไหนไม่เห็นมีตำรวจมาตามถึงบ้าน แต่ครั้งนี้พอบอกจะไปบ้านพล.อ.ประวิตร ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาถึงบ้านเลย 

           ขณะที่น.ส.ณัฏฐา กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าเจ้าหน้าที่เชิญตัวทั้ง 2 คนมาพูดคุยเท่านั้น แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของมาเฟียหรือไม่ ซึ่งการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นสิทธิที่ประชาชนกระทำได้ และเราไม่อยากให้หายไปจากกระแสข่าว เราไม่ได้ไปคุกคามสิทธิเสรีภาพใดๆ เลย การปกป้องชื่อเสียงนายสำคัญกว่าปกป้องรัฐหรือ

 

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

 

ซัดใช้ผลประโยชน์ดูดอดีตส.ส.

           ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นนั้น วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวผ่านรายการ “ต้องถาม” ทางสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ ตอนหนึ่งถึงการลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของนายสกลธี ภัทริยกุล อดีตส.ส.เพื่อไปรับตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปภายหลังจากที่นายสกลธีเข้าพบนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีคนวิจารณ์ว่าเป็นการทาบทามแบบเจาะจงไปที่บุคคลซึ่งเคยดำรงแหน่ง ส.ส. และเป็นความไม่ธรรมดา ส่วนตัวมองว่าบุคคลที่มีความพร้อมทำหน้าที่รองผู้ว่าฯ กทม. มีจำนวนมาก ที่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นอดีตส.ส. และที่ผ่านมารัฐบาลหลีกเลี่ยงการดึงบุคคลที่เป็นคนการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะจะถูกวิจารณ์ แต่กรณีที่เกิดขึ้นขอให้รอดูการทำงานของนายสกลธี ว่าจะออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพื่อทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง หรือลาออกไปสังกัดพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่

          “เขามาพบผม 1 วันก่อนจะได้รับตำแหน่งจาก กทม. และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่าจะไปทำงานที่กทม. เขาว่าอยากจะไปทำงานตรงจุดนั้น ซึ่งผมบอกเขาว่าหากจะไปก็ลาออกเสียดีกว่า ซึ่งผมคาดว่าเขาตั้งใจมาลาออกอยู่แล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็มองเหมือนที่หลายคนมองว่าอาจจะกระทบต่อฐานนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ผมไม่คิดมาก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าสำหรับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่จะลาออก ถือเป็นสิทธิที่แต่ละคนทำได้ ส่วนจะผิดหรือถูกนั้น สรุปไม่ได้ เพราะมีบางคนเชื่อว่าเขาออกไปเพื่อไปทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ไม่ว่าจะอยู่บทบาทไหน ที่ผ่านมาการตัดสินใจทำงานให้รัฐบาล หรือคสช. ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือทำเพื่อส่วนรวม หรือส่วนที่วิ่งเข้าหาศูนย์อำนาจ เพราะมีผลประโยชน์ส่วนตัว หรือทางธุรกิจ โดยสิ่งที่ทำให้เห็นเชิงประจักษ์คือการใช้อำนาจโดยไม่ชอบและการทุจริต สำหรับตน ฐานะเป็นนักการเมืองอาชีพ และโตมากับพรรคการเมืองที่เป็นสถาบัน ไม่นิยมทำแบบนั้น และผมเชื่อว่าการทำงานที่มีสังกัด มีจุดยืนชัดเจน ไม่ต้องวิ่งเพื่อให้ตนเองมีอำนาจตลอดเวลา คือแนวทางที่ยั่งยืนกว่าสำหรับประเทศไทยและการเมืองไทย

          “การใช้อำนาจรัฐ ใช้ผลประโยชน์ ดึงคนก็เหมือนการเมืองแบบเดิม ซึ่งการทำแบบนี้ความชอบธรรมที่จะพูดถึงการปฏิรูปการเมือง หรือธรรมาภิบาลอาจถูกตั้งคำถามพอสมควร ที่ผ่านมาผมฐานะนักการเมืองเก่า พรรคการเมืองเก่าถูกประณามจากผู้มีอำนาจในปัจจุบัน แต่วันนี้ขอให้ดูพฤติกรรมตัวท่านเองว่าเป็นเหมือนนักการเมืองเก่าหรือไม่ ทั้งการทำงานแบบหลีกเลี่ยงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ใช่การทำผิดตามตัวอักษร แต่เขาเอาผลประโยชน์ต่อรองทางการเมือง ดังนั้นต่อไปเขาไม่มีสิทธิที่จะพูดถึงการปฏิรูปการเมืองหรือความมีธรรมาภิบาลอีกต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำด้วยว่า แม้การเตรียมตั้งพรรคของนายสมคิดตามที่มีกระแสข่าวจะไม่ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญห้ามลงสมัครส.ส.เท่านั้น แต่ตามเจตนารมณ์ที่เขียนว่าคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ต้องการลงเลือกตั้งต้องลาออกภายใน 90 วันซึ่งนับระยะตั้งแต่ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ คือการไม่ให้ผู้ที่ถืออำนาจรัฐเข้าไปมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือใช้อำนาจแทรกแซงการเลือกตั้ง

 

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

 

หวั่นผู้มีอำนาจแทรกแซงเลือกตั้ง

          หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า การเมืองในประเทศไทยถ้าเราไม่ยึดตัวระบบถ่วงดุลให้เกิดความพอดี ถ้าพูดกันตรงๆ ตอนนี้มาตรา 44 ใหญ่กว่าทุกอย่าง ความจริงศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องตีความต่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ ก็ทำให้เราเริ่มศูนย์เสียตัวระบบว่าถ่วงดุลจริงหรือไม่ เวลามีพี่ใหญ่ใช้อำนาจเหนือทุกอย่างบางเรื่องก็ถูกใจ ก็ยอมรับ บางทีก็สะใจว่ามันง่าย รวดเร็ว แต่ความสะใจ พอใจในกรณีนั้นเป็นการเปิดทางให้ไปทำอะไรอีกหลายอย่าง ถึงวันนั้นอาจจะบอกว่าไม่ใช่ เมื่อจะไปต่อต้านอาจมีคนบอกว่าวันที่คุณสนับสนุน การที่เขาทำแล้วถูกใจก็จะมาค้ำอยู่ ดังนั้นโดยส่วนตัวถึงพยายามบอกว่าบางทีสังคมก็ต้องอดทน ระบบที่มีการถ่วงดุลอาจจะช้า ไม่สะใจเสมอไป แต่จะเป็นหลักประกันที่ดีกว่า

          ส่วนที่เป็นห่วงเรื่องการใช้มาตรา 44 กับองค์กรอิสระทั้งหลาย โดยเฉพาะกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ว่าจะอยู่ขั้วไหนคิดว่าทุกคนเห็นน่าจะตรงกันว่าการเมืองประเทศไทยถ้าจะเดินไปข้างหน้า 1.ต้องมีเลือกตั้ง และ 2.ถ้าเริ่มจากเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์เที่ยงธรรม ตนว่าไม่มีทางที่การเมืองจะดีขึ้น บางยุคบางสมัยบอกว่าเราคิดแต่เรื่องการซื้อเสียง แต่การใช้อำนาจรัฐหรือการใช้อื่นอย่างเข้ามาแทรกแซงทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม เป็นปัญหาที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการซื้อเสียง และเหตุผลที่มีกกต.มาตั้งแต่ต้นเพราะทุกคนบ่นว่ารัฐเข้าไปมีส่วนได้เสียเพราะเป็นผู้จัดการเลือกตั้ง ดังนั้นเมื่อมีกกต.ที่เขาบอกว่าเป็นอิสระแล้วเรายังเปิดโอกาสให้คนใช้อำนาจบริหารเข้าไปแทรกแซง ชี้นำได้ สุดท้ายก็กลับไปสู่ปัญหาเดิมว่าการเลือกตั้งไม่สามารถปราศจากการแทรกแซงของการใช้อำนาจรัฐ ทำให้การเลือกตั้งไม่เที่ยงธรรมก็จะกลายเป็นปัญหาความชอบธรรมของระบบประชาธิปไตยอีก

          เมื่อถามว่าเมื่อมาตรา 44 ออกโดยคสช. การที่คสช.จะลงเล่นการเมืองจะดูเหมาะสมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ไม่มีส่วนในการเลือกตั้ง ตนยังลังเลว่าจะสามารถใช้อำนาจมาแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระได้ เพราะทำให้ไม่เป็นอิสระ แต่ยิ่งบอกว่าคนที่ใช้อำนาจอาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ยิ่งเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น และรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดว่าหากจะลงเล่นการเมือง ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ต้องลาออก 90 วัน หลังรัฐธรรมนูญประกาศ ซึ่งก็ชัดเจนว่าป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน

          “กรณีหัวหน้าคสช.ก็ลงส.ส.ไม่ได้แล้ว แต่ตามตัวอักษรของรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกฯ 1 ใน 3 รายชื่อ แล้วเจ้าตัวยินยอม แต่คงไม่ค่อยสอดคล้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเท่าใด เพราะชัดอยู่แล้วว่าไม่ต้องการให้ฝ่ายบริหารมาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง จึงทำให้ผมมีความรู้สึกในเรื่องของข่าวว่าจะมีการตั้งพรรคโดยเอารัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรค เป็นรูปแบบที่แปลก เพราะรัฐมนตรีทั้ง 2 คนไม่สามารถลงส.ส.ได้ และไม่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ด้วย คำถามคือทำไมต้องเอาคนที่มีอำนาจอยู่ในกระทรวงพาณิชย์ ในกระทรวงอุตสาหกรรม มาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

เหน็บงบสร้างไลน์พีอาร์รัฐบาล

          อดีตนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการลงพื้นที่ของรัฐบาลและคสช.ในช่วงนี้ว่า ถ้าจะบอกว่าลงพื้นที่มันผิดก็คงสรุปไม่ได้เพราะการบริหารราชการแผ่นดินโดยปกติก็ต้องพยายามที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชน ก็หวังว่าประชาชนจะพึงพอใจ พูดง่ายๆ คือได้คะแนนทางการเมือง ถ้าลงไปเพื่อจะไปดูข้อเท็จจริง ทำให้การแก้ไขปัญหาตรงจุด เราก็ไปต่อว่าเขาไมได้ แต่ของอย่างนี้ดูไปสักพักก็จะดูออกเองว่าเป็นเรื่องของประสิทธิภาพของการบริหารราชการแผ่นดินหรือเป็นเรื่องของการมีเป้าหมายทางการเมือง

          ส่วนกรณีที่รัฐบาลทำไลน์ขึ้นมาโดยเอางบประมาณไปซื้อ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การประชาสัมพันธ์ก็อยู่ที่หน่วยงานว่าจะรูปแบบไหน แต่ก็มีข้อสังเกตว่ารูปแบบที่จะทำไลน์ โดยเอาไลน์ออฟฟิเชียลมาทำจะประชาสัมพันธ์งานของรัฐได้ขนาดไหน เพราะนึกไม่ออกว่าเขาจะเขียนอะไรมา และไม่แน่ใจว่าจะมีคนติดตามมากมายแค่ไหน และงบที่ใช้ 7 ล้านบาท โดยมีการทำสติกเกอร์ไลน์ สันนิษฐานว่าเป็นรูปนายกฯ และใครอยากได้สติกเกอร์นี้ฟรีก็ไปโหลดมาได้ โดยการมาติดตามตัวไลน์นี้ เขาก็จะสามารถส่งข้อความได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลสามารถทำได้ แต่เป้าหมายการประชาสัมพันธ์คืออะไร และเป็นข้อมูลแบบไหน

          “ผมคุยกับเพื่อนๆ หลายคนบอกว่าอย่างนี้ บริษัท ห้างร้าน ทำกันเยอะแยะ เวลาอยากได้สติกเกอร์เขาก็โหลดมา เวลาไม่อยากได้ก็บล็อกออกไป แล้วสติกเกอร์ก็ส่งกันไป ผมก็ไม่แน่ใจว่าการมาเทียบเคียงกับรัฐบาล การประชาสัมพันธ์ตรงนี้จะเป็นอย่างนี้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก รัฐบาลเคยทำตอนที่มีค่านิยม 12 ประการ แล้วบอกว่ามีสติกเกอร์ชุดหนึ่ง บังเอิญผมไม่ได้ไปติดตามและไม่ได้รับสติกเกอร์ชุดนั้นเลย จึงไม่รู้ว่าการทำอย่างนี้จะคุ้มค่าแค่ไหน ทั้งที่เป็นเงินภาษีอากรของประชาชน จะบอกว่า 7 ล้านบาทเล็กน้อย แต่ก็เป็นเงินภาษีและการทำสติกเกอร์ สวัสดี ขอบคุณ เป็นประชาสัมพันธ์รัฐอย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

 

"บิ๊กตู่"นำบิ๊กเหล่าทัพอวยพร"บิ๊กป้อม"

 

แนะฟัง"มาร์ค”จี้ปมศก.ล้มเหลว

          ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ระบุการทำงานของรัฐบาลและคสช. 4 ปีที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว ทั้งที่ใช้งบประมาณไปเกือบล้านล้านบาทว่า ถือเป็นแง่มุมหนึ่งของอดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยบริหารประเทศจึงอาจมองเปรียบเทียบกับสมัยที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีจึงทำให้มองว่าประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ออกมานั้นไม่เหมาะต่อยอดเม็ดเงินงบประมาณ ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้คนที่จะตอบได้ดีคือประชาชน นักธุรกิจ ผู้ใช้แรงงาน อย่างไรก็ตาม 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลก็พยายามบริหารให้ครอบคลุมหมดทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ภาคแรงงาน ภาคอุตสาหกรรม และธุรกิจอื่นๆ น่าจะเป็นคนให้คำตอบ

          “การที่นายอภิสิทธิ์ออกมาพูดเช่นนี้รัฐบาลควรที่จะรับฟังไว้ ผมเชื่อว่ารัฐบาลมีเครื่องมือเพียงพอในการประเมินผลของตัวเองได้ และถ้าจะให้ดีที่สุดครบ 4 ปีแล้วควรจะมีการแถลงใหญ่สักครั้งหนึ่งว่า 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับวาระของการทำงานของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เห็นว่าการทำงานโดยไม่มีฝ่ายค้านไม่มีการตรวจสอบหรือทำงานโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น ผลที่ออกมาเป็นอย่างไร สิ่งที่ประชาชนคาดหวังทุกวันนี้คือเรื่องปากท้อง เพราะเป็นปัญหาหนักอกของผู้คนที่พูดถึงมากที่สุด และตอนนี้ปัญหาของคนรากหญ้า ปัญหาของคนที่อยู่ในชนบทมันสวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงๆ จะมัวไปดูตัวเลขว่าขึ้น 3.6 หรือ 4.6 อย่างเดียวไม่ได้ คุณล้วงไปในกระเป๋าของผู้คนว่าในกระเป๋าของพวกเขามีตังค์หรือไม่ ดัชนีการครองชีพเป็นอย่างไร ควรมองดูสิ่งที่เป็นความจริงมากกว่าตัวเลข ขณะนี้ผู้ค้ารายย่อย ร้านของชำ แม่ค้าที่ขายตามตลาดนัดชาวบ้าน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้กำลังซื้อของคนมีน้อยทำให้การค้าระดับล่างซบเซา เงินไม่สะพัดเท่าที่ควร” นายสมศักดิ์กล่าว

ม.44คลายเดดล็อกสมาชิกพรรค

          อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวถึงปัญหาเรื่องการยืนยันเป็นสมาชิกพรรคและชำระค่าบำรุงสมาชิกที่สิ้นสุด 30 เมษายนนี้ที่เป็นเดดล็อกและพรรคการเมืองอาจดำเนินการไม่ทันว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของทุกพรรคการเมืองเนื่องจากมีเวลากระชั้นมาก การติดตามตัวตนและสถานะของสมาชิกพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่จะทำได้ภายในไม่กี่วัน โดยเฉพาะเรื่องค่าบำรุงสมาชิกพรรค ดังนั้นวันนี้จะเห็นว่าพรรคการเมืองกำลังเผชิญอุปสรรคดังกล่าวทั้งสิ้น ดังนั้นหากคสช.และรัฐบาลต้องการเห็นทุกอย่างคลี่คลายและสามารถปฏิบัติได้จริงตามแนวทางของกระบวนการที่ควรจะเป็นมาตรา 44 ที่มีอยู่ในมือสามารถที่จะผ่อนปรน 

          "เมื่อรับรู้ปัญหาแล้วก็น่าจะคลี่คลายได้ หากมีเจตนาที่ดีต้องการเห็นพรรคการเมืองทำงานได้อย่างอิสระก็ควรผ่อนปรนให้พรรคการเมืองบ้าง เมื่อรับรู้ปัญหาจากแต่ละพรรคการเมืองที่สะท้อนออกมาอย่างนี้แล้วควรรับฟังและดูว่าสิ่งไหนจะทำได้จริงและไม่กระทบต่อความมั่นคง ไม่กระทบต่อผลทางการเมืองที่ตัวเองต้องการให้เป็นก็น่าจะผ่อนปรนได้ ซึ่งอำนาจมาตรา 44 ก็มีอยู่ในมือท่านแล้ว” นายสมศักดิ์กล่าว

          ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคการเมืองที่จะมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นแกนนำ เพื่อรองรับคสช. นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงตอบไม่ได้ เพราะนายสมคิดเองก็ออกมาปฏิเสธ ไม่ได้แอ่นอกรับว่าได้ตั้งพรรคจริงยังเป็นเพียงกระแสข่าว ดังนั้นเรื่องนี้ต้องรอให้ทุกอย่างปรากฏความชัดเจนเป็นจริงเสียก่อนแล้วเราจึงจะรู้ 

          “วันนี้สิ่งที่นายสมคิดพูดตามตรรกะก็ยังเป็นไปตามนั้น แต่บนข้อเท็จจริงในทางการเมืองอาจจะมีข่าวกระเซ็นกระสายออกมา เช่น การที่มีนักการเมืองเข้าไปพบนายสมคิดในทำเนียบรัฐบาล หรือการแสดงออกทางท่าทีบางอย่าง ย่อมทำให้คนอดคิดไปไม่ได้ว่าสิ่งที่นายสมคิดปฏิเสธกับความเป็นจริงอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง” นายสมศักดิ์กล่าว

ชี้นัดถกพรรคบอกวันเลือกตั้งด้วย

          นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์   ให้เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค รวมถึงกระแสข่าวนายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อาจเข้าไปร่วมพรรคพลังประชารัฐว่า ถือเป็นแนวทางตามธรรมชาติของพรรคการเมืองที่ต้องหาต้นทุนทางผู้สมัครหรือแนวร่วมเพราะคนที่เป็นนักการเมืองจริงๆ ต้องเป็นบุคคลเฉพาะไม่ได้มีอยู่เกลื่อนกลาดในตลาดเหมือนบุคคลทั่วไป พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องลงไปดูทิศทางว่าพรรคจะเดินได้แค่ไหน จึงมองเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้ตื่นเต้น เพราะที่สุดแล้วผู้สมัครจะไล่ลำดับเลือกเองว่าพรรคการเมืองใดที่เข้าไปอยู่แล้วจะได้ประโยชน์ทางการเมืองมากที่สุด 

          “ในภาคอีสาน ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อไทย คนจะสนใจเยอะ รองจากเพื่อไทยก็เป็นภูมิใจไทยแล้ว ล้านเปอร์เซ็นต์ พรรคประชาธิปัตย์มีแรงต้านเยอะในอีสาน แต่เขามีพื้นฐานอยู่ทางภาคใต้ แต่พลังประชารัฐ ผมไม่รู้ว่าเขามีจุดขายอะไรมานำเสนอให้คนที่สนใจการเมืองเข้าไปร่วมหรือให้ประชาชนตัดสินใจ ความเป็นพรรคทหารหรือเปล่า หรือคือการหนุนพล.อ.ประยุทธ์ เขาก็ต้องเอาจุดนี้ไปขายอย่างเดียว แล้วคนอีสานจะคิดอย่างไร ผมยังฟันธงไม่ได้ เห็นแค่จากข่าวว่ามีกลุ่มหนึ่งที่พยายามหยั่งเสียง ไปหาแนวร่วม ต้องรออีกระยะจึงจะเห็นความชัดเจน อย่างไรก็ดี การลงไปดูแนวร่วมไม่ใช่เรื่องเสียหาย” นายทรงศักดิ์กล่าว

          นายทรงศักดิ์ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยในภาคใต้ว่า ภูมิใจไทยคงไม่ทิ้งเป้าหมายทางภาคใต้และต้องสรรหาผู้สมัครให้ครบทุกเขต พรรคมีเหรัญญิกคือ ดร.นาที รัชกิจประการ ที่ทำหน้าที่หยั่งเสียงและพิจารณาตัวผู้สมัครทางภาคใต้อยู่ ในส่วนของตนเพิ่งเดินทางไปยังหลายจังหวัดทางภาคใต้ เช่น พัทลุง ชุมพร นครศรีธรรมราช และตรัง โดยที่ จ.ตรัง ได้พูดคุยกับอดีตส.ส.คนหนึ่งที่ไม่ใช่อดีตพรรคประชาธิปัตย์ เขาแสดงความสนใจพรรคภูมิใจไทย อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกจังหวัดส่วนเรื่องนโยบายและการเข้าถึงประชาชนจะชัดเจนขึ้นหลังจากคสช.ปลดล็อกการเมือง

          ส่วนกรณีคสช.และรัฐบาลเตรียมให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เชิญพรรคการเมืองเข้าหารือเรื่องการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายนนี้ นายทรงศักดิ์กล่าวว่า ไม่รู้ว่าหัวข้อการหารือมีเรื่องใดบ้าง ต้องคุยนอกรอบกับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและรองหัวหน้าพรรคก่อน ไม่สามารถตอบด้วยตัวเองได้ ตามจริงแล้วถ้ารัฐบาลชวนหารือเรื่องแนวทางที่ทำให้การไปสู่การเลือกตั้งราบรื่นรวดเร็ว พรรคการเมืองควรให้ความร่วมมือ หากมีปัญหาอุปสรรคพรรคการเมืองควรไปแสดงความคิดเห็น เพราะในที่สุดคนที่จะตัดสินใจทางการเมืองคือประชาชนไม่ใช่รัฐบาล แต่รัฐบาลเป็นคนตัดสินใจว่าจะจัดเลือกตั้งวันไหนเป็นปัญหาที่ต้องทำให้ชัดเจน เชิญนักการเมืองไปหารือแล้วก็ควรให้รู้วันเลือกตั้ง พรรคการเมืองจะได้เตรียมตัวได้

“อิสสระ”ลั่นปชป.สู้ศึกอีสานเต็มที่

           ขณะที่นายอิสสระ สมชัย อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยครองเสียงในภาคอีสานว่า ในฐานะอดีตส.ส.อุบลราชธานี อยู่กับประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด แม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้ครองเสียงในภาคอีสานทั้งหมด จะมีเพียงอุบลราชธานีและอำนาจเจริญ เป็นต้น แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าในโซนอีสานจะไม่ใช่การสู้กันแค่พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เพราะพรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างเต็มที่ในทุกภาคของประเทศเช่นกัน

          “ยืนยันว่าในส่วนของอุบลราชธานีและพื้นที่ของผมนั้นยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งที่ผ่านมาในพื้นที่อุบลราชธานี คะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทยถือว่าต่ำมาก ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองที่ใช้งบประมาณเยอะที่สุดถ้าวัดกันพื้นที่ต่อพื้นที่ ผมในฐานะอดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ รอวันที่คสช.ปลดล็อกพรรค ก็จะยืนยันตัวตนการเป็นสมาชิกทันทีเพราะผมขาดการเป็นสมาชิกภาพเมื่อครั้งไปบวชและพอมีการปลดล็อกพรรคการเมืองผมขอยืนยันว่าจะทำงานอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพื้นที่ฐานเสียงของผมจะไม่ให้มีการขาดตกบกพร่อง” นายอิสสระกล่าว

เพื่อไทยเชื่ออดีตส.ส.ไม่ถูกดูด

           นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายทรงศักดิ์ ระบุถึงจำนวนที่นั่งส.ส.ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานว่า รองจากเพื่อไทยก็คือที่นั่งของภูมิใจไทย ว่าปกติในภาคเหนือและอีสาน เพื่อไทยครองพื้นที่ 90 เปอร์เซ็นต์ มีสมาชิกเป็นอดีตส.ส.แต่รองลงมาปกติแล้ว ภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จะคะแนนไล่ๆ กัน แต่คะแนนโดยภาพรวม ประชาธิปัตย์จะอยู่อันดับ 2 แม้จะห่างกันหน่อย อันดับ 3 ก็เป็นภูมิใจไทย ส่วนที่ภูมิใจไทยบอกว่าเป็นรองจากเรานั้น เขาคงจะประเมินเอง แต่เราดูจากคะแนนที่ผ่านมาเป็นอย่างนั้น แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าคนที่เป็นผู้สนับสนุน ผู้ที่ชื่นชอบในนโยบายที่แล้วมาของพรรคเพื่อไทยน่าจะยังสนับสนุนเราอยู่ ซึ่งในช่วงสงกรานต์ตนใช้เวลาออกไปทำบุญตามหมู่บ้าน และจุดตรวจบริการประชาชนกว่า 30 จุด ได้ถามสารทุกข์สุกดิบประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังสนับสนุนเรา

          “แม้จะมีเรื่องอื่นๆ เข้ามาก็ยังไว้ใจในพรรคเพื่อไทย เราก็เลยมั่นใจว่าหากมีการเลือกตั้งเราก็ยังจะไม่ประสบปัญหาที่พรรคอื่นๆ เข้ามาแบ่งคะแนน แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ถ้ามีการเปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกับพี่น้องประชาชนมากกว่านี้เราก็คงจะดีขึ้น ช่วงนี้เรายังทำงานการเมืองแทบไม่ได้ ต้องอาศัยกิจกรรมประเพณีในการทำงาน ฉะนั้นกรอบการทำงานจึงมีจำกัดมาก ไม่เหมือนรัฐบาลที่เรียกประชุมโครงการไทยยั่งยืนทั่วประเทศทุกวัน” นายสมคิด กล่าว

          เมื่อถามว่ากังวลถึงกระแสสมาชิกพรรคถูกดูดไปอยู่ที่อื่นหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ก็มีแต่ข่าวว่าถูกดูดสมาชิกพรรค ซึ่งเมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ก็ได้พบปะอดีตส.ส. เกือบ 20 คน ได้คุยกันเรื่องนี้ พบว่าเป็นเพียงข่าว โดยในส่วนของเพื่อไทยยังไม่มีโดยเฉพาะในพื้นที่อีสานและในส่วนภาคเหนือ ส่วนคนที่ถูกดูดไปนั้นเข้าใจว่าอาจจะเป็นเบอร์รองๆ จากเพื่อไทยที่อยู่พรรคอื่นแล้วได้อันดับ 2 จะเป็นเป้าหมายหลักของพรรคภูมิใจไทยที่จะส่งส.ส.ลง 350 เขต ที่แม้จะไม่ได้ ส.ส.ในเขตมาก แต่คิดว่าเขาอยากได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ จึงต้องสู้เพื่อเอาคะแนนที่แพ้ในทุกเขตมาเป็นคะแนนปาร์ตี้ลิสต์

          ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่สมาชิกพรรคออกมาข่มขู่อดีตส.ส.ที่คิดจะย้ายพรรคให้ระวังจะสอบตก นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ข่มขู่ เป็นเรื่องปกติ เพราะในวันที่ 4 เมษายน ทุกคนก็มายืนยันสมาชิกพรรค หากไม่ได้ติดขัดอะไรว่าเราจะอยู่ด้วยกันทำงานด้วยกัน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะถูกดูดออกไป หรือย้ายออกไป โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ แต่ว่าเวลาในการเลือกตั้งทั่วไปจะมีคนเข้าออกเป็นปกติ อาจจะไม่มาก เพราะเขาอาจจะเลิกเป็นนักการเมือง หรือด้วยสุขภาพ ก็อาจจะเป็นลูกหลานลงแทน ถ้ามีคนออกก็ไม่มีปัญหาเพราะพรรคพท. ก็มีเบอร์ 2 เข้าไปลงแทนอยู่ดี

           นายสมคิด ยังกล่าวถึงการยืนยันสมาชิกว่า เป็นเรื่องที่ยากเพราะพรรคไม่สามารถทำกิจกรรมได้ มีแต่สมาชิกที่มีตำแหน่งทางการเมือง เช่น ผู้ช่วยส.ส. ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ญาติพี่น้อง ซึ่งก็ยังหวั่นว่าจะได้สมาชิกถึง 50,000 หรือไม่ แม้จะคาดการณ์ว่าจะมีคนมายืนยันประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 4-5 หมื่

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ