ข่าว

ครม.สั่งเชือดปลัดพม.ให้ออกจากราชการเซ่นโกงเงินคนจน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ครม.เชือด 3 บิ๊กพม. "ปลัด-รองปลัด-ผู้ตรวจ"ให้ออกจากราชการเซ่นปมโกงเงินคนจน  ด้าน "บิ๊กตู่" แย้มรู้สมคิดจ่อตั้งพรรค ไม่ปิดทางร่วมพรรคการเมืองแต่ขอดูก่อน 

     เมื่อวันที่ 10 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ออกจากราชการไว้ก่อน ที่ก่อนหน้านี้มีคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี จากกรณีปัญหาทุจริตงบประมาณช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งของกระทรวงพม.

    นอกจากนี้ที่ประชุมครม.ยังมีมติมติย้ายนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ไปนั่งเลขาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แทนนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสศช. โดยโยกนายปรเมธี ไปดำรงตำแหล่งปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แทนนายพุฒิพัฒน์ ที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน

 

“บิ๊กโย่ง”แจงปลัดพม.ออกราชการ

     ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้นายพุฒิพัฒน์ ออกจากราชการ ว่าเป็นให้ออกจากราชการไว้ก่อนระหว่างการสอบสวนวินัยร้ายแรง

     ส่วนที่เลือกนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นการพูดคุยหลายฝ่าย และนายปรเมธีถือว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว นายกฯ จึงให้มาช่วยเตรียมการพัฒนาเรื่องสังคมในอนาคต ทั้งเรื่องผู้สูงอายุและเด็ก และการเอาคนนอกมานั่งตำแหน่งปลัดพม. นั้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

เล็งทาบคนในนั่งรองปลัดพม.

     ส่วนคนที่จะมาทำหน้าที่แทนนายณรงค์ คงคำ รองปลัดพม. ที่ถูกให้ออกจากราชการเช่นกันนั้นจะต้องนำชื่อเข้าครม.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งเราพยายามหาคนในกระทรวง โดยจะพิจารณาจากรองอธิบดีและผู้ตรวจราชการกระทรวง โดยจะเลือกคนเก่งคนดีโดยใช้หลักคนดี

   เมื่อถามถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ส่งรายชื่อผู้เกี่ยวกับการทุจริตให้กระทรวงพม. 96 รายชื่อนั้นจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบรายชื่อที่ซ้ำกัน 14 คน ส่วนที่เหลือให้ป.ป.ท. ตั้งคณะกรรมการสอบ หากมีมูลก็ส่งมาให้ทางกระทรวงพม. แล้วจะดำเนินการลงโทษได้เลย ขณะนี้ถือว่าเร็วกว่าในอดีตที่มีกรอบเวลา 180 วัน เพราะตอนนี้มีกรอบระยะเวลาการพิจาณา 30 วัน และสามารถขอขยายเวลาได้อีก 30 วัน ไม่มีรัฐบาลไหนทำได้เร็วเท่านี้

     พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการของการตรวจสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับสูงในกระทรวงนั้น คณะกรรมการได้ประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง และสงกรานต์ก็จะประชุมอีกไม่มีหยุด ซึ่งขณะนี้ชี้แล้วว่าผิดอย่างไรและจะดำเนินการอย่างไร หลังสงกรานต์จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ยังไม่รู้ถึงเส้นทางทางการเงิน เพราะหลักฐานการโอนเงินมีน้อย ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่พม.และป.ป.ท. สามารถประสานขอข้อมูลไปได้ และเมื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้เสร็จอาจจะมีการตรวจสอบย้อนกลับไปยังปีงบประมาณก่อนหน้านี้อีกด้วย หลังจากวันที่ 1 พฤษภาคม ก็จะเปลี่ยนการจ่ายเงินเป็นระบบอีเพย์เมนท์ของธนาคาร โดยไม่ต้องผ่านข้าราชการ ส่วนวงเงินการทุจริตนั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก เพราะไม่สามารถเข้าไปดูการโอนเงินทั้งหมดได้ และเป็นเพียงข้อกล่าวหา ขณะนี้กำลังดำเนินการพิสูจน์อยู่

ครม.สั่งเชือดปลัดพม.ให้ออกจากราชการเซ่นโกงเงินคนจน

รองปลัด-ผู้ตรวจพม.โดนเชือดด้วย

     ด้านพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า รมว.พม.ได้มีคำสั่งให้ข้าราชการ 3 คน คือปลัดกระทรวงพม. รองปลัดกระทรวงพม. และน.ส.ยุพเรศ วงศ์บุญมี ผู้ตรวจราชการพม. ออกจากราชการไว้ก่อน

     เมื่อถามว่าทำไมถึงให้นายปรเมธี มาเป็นปลัดพม. พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ไม่ได้มีการอธิบายรายละเอียดเรื่องนี้ แต่คงเป็นผู้มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจมาโดยตลอดทั้งนายปรเมธีและนายสมชัยซึ่งตรงนี้เป็นของเสนอของกระทรวงพม. วันนี้รมว.พม.ได้รายงานเรื่องการทุจริตในที่ประชุมครม.ว่าจากที่มีข้อมูลข่าวสารในเบื้องต้นทางกระทรวงพม.ก็ตรวจสอบและได้ประสานงานกับป.ป.ท. สตง. เพื่อตรวจสอบข้อมูล ซึ่ง ณ เวลานี้ทราบข้อมูลจากป.ป.ท.พบผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 95 คน ส่วนพม.พบมีผู้เกี่ยวข้อง 171 คน ซึ่งข้อมูลยังไม่ตรงกัน แต่จะเอาข้อมูลจากป.ป.ท.เป็นหลักก่อน ซึ่งจากการตรวจสอบของทั้งสองหน่วยงานพบว่ามีทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และบุคคลภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของกระทรวงพม.มาเกี่ยวข้อง

      "ขณะที่นายกฯ ได้สั่งทุกกระทรวงให้อธิบายต่อประชาชนว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่มารัฐบาลนี้แล้วโกง แต่เรื่องราวทั้งหลายเกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลนี้จะมา จะมีคนร้องเรียนก็ดี หรือเราตรวจสอบพบเองก็ดี เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมต้องฉุกคิด ฉะนั้นประชาชนถ้ามีข้อมูลเรื่องนี้ต้องช่วยกัน ไม่ใช่แค่เพียงว่าวันนี้เราไม่โกง แต่เราต้องไม่ยอมให้คนอื่นโกงด้วย ซึ่งใครมีข้อมูลข่าวสารเรื่องการทุจริตสามารถส่งเรื่องมาที่สายด่วนของนายกฯ ได้” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

แจงตั้ง“ปรเมธี”เพราะไว้ใจได้

     วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายนายปรเมธี วิมลศิริ จากเลขาธิการคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แทนนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ซึ่งถูกสั่งย้ายไปเป็นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกฯ จากปัญหาการทุจริตงบประมาณอุดหนุนช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งและผู้ป่วยโรคเอดส์ ว่า การแต่งตั้งนายปรเมธีไปเป็นปลัดกระทรวงพม. เป็นการเสนอชื่อโดยกระทรวงดังกล่าวเอง เมื่อเขาส่งเรื่องมา ก็พิจารณาว่าควรหาคนที่เหมาะสมและไว้วางใจได้ ซึ่งนายปรเมธีเป็นคนเก่ง มีความสามารถ และตนไว้วางใจเขา

    ส่วนกรณีของนายพุฒิพัฒน์ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน และไม่ได้รับเงินเดือน แต่ถ้าผลการสอบสวนเสร็จสิ้นหมดแล้วพบว่าเขาไม่มีความผิดก็สามารถกลับมารับราชการได้ตามปกติ และเรียกคืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ กลับคืนมาได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการทุจริตนี้ยังมีอีกหลายคนต้องถูกสอบสวนต่อ

ลั่นต้องตรวจสอบทุกกระทรวง

    เมื่อถามว่ากรณีของนายณรงค์ คงคำ รองปลัดกระทรวง ถูกดำเนินการเหมือนกับนายพุฒิพัฒน์ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกระทรวงพม.เสนอมา ซึ่งพม.มีกลไกดำเนินการอยู่ โดยก่อนหน้านี้นายณรงค์ถูกโยกย้ายออกมาเหมือนกับนายพุฒิพัฒน์ ทั้งนี้มีคนที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการมี 3 คน

    นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ทุกอย่างอยู่ที่การบริหาร เรื่องการจ่ายเงินและระเบียบเก่าก็ต้องถูกแก้ไข ซึ่งบางครั้งมีการตั้งอีกระบบขึ้นมาเพราะหวังดี อยากทำให้เร็วขึ้น แต่ปรากฏว่าเกิดการทุจริตขึ้นมา เมื่อมีปัญหานี้ก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ต้องมีการตรวจสอบทุกกระทรวง แต่บางครั้งถ้าให้กระทรวงนั้นๆ เป็นผู้ตรวจสอบเอง อาจล่าช้าเกินไป ตนจึงให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไปเสริมการตรวจสอบด้วย ซึ่งป.ป.ท.มีอำนาจหน้าที่ของเขาและมีกฎหมายปกติใช้ดำเนินการได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557

ครม.สั่งเชือดปลัดพม.ให้ออกจากราชการเซ่นโกงเงินคนจน

เมินถูกมองลงพื้นที่หวังโกยคะแนน

    ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุมคสช. และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีมีฝ่ายการเมืองมองว่าการลงพื้นที่ของนายกฯ เป็นการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของโรดแม็พก่อนมีการเลือกตั้งว่า จะให้ความสำคัญกับการมองเช่นนั้นทำไม ทั้งนี้ตั้งใจว่าก่อนหมดหน้าที่จะลงพื้นที่ในทุกจังหวัดให้ได้มากที่สุดเพียงแค่นั้น แต่เป็นความบังเอิญมาตรงกับช่วงเวลาโรดแม็พพอดี

    “ผมก็อยากไปเจอประชาชนทุกพื้นที่ ไม่ได้ไปฟังแค่ข้าราชการ แต่ไปแอบฟังประชาชนเขาพูดบ้าง บางทีประชาชนไม่ได้พูดกับผมโดยตรง แต่ส่งคลิป ส่งเอสเอ็มเอสมาให้บ้าง ผมก็ไปไล่ดู ไม่ใช่เสนออะไรมาก็ฟังแต่ข้าราชการอย่างเดียวแต่ฟังประชาชนด้วย และไม่ได้ลงไปฟังแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ไม่ดีก็เจอ แล้วนำกลับมาแก้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

แย้มรู้ “สมคิด” เตรียมตั้งพรรค

    พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจทางการเมืองหลังมีข่าวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สนับสนุนตั้งพรรคการเมืองและจะเชิญให้เป็นที่ปรึกษาพรรคว่า “วันนี้เขาหารือกันอยู่ก็ให้หารือกันไป ยังไม่เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น และถ้าเขาตั้งพรรคขึ้นมาวันข้างหน้าก็ต้องไปดูว่าพรรคไหนเป็นอย่างไร ควรจะสนับสนุนหรือเปล่า หรือจะสนับสนุนพรรคไหนอย่างไร แต่วันนี้เขายังไม่มาเชิญสักคนเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่าขณะนี้มีการเคลื่อนไหวที่จะมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่และจะเสนอให้ไปเป็นที่ปรึกษาพรรค พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เขาก็คุยกันอยู่ละมั้ง เห็นเขาคุยกันอยู่ แต่เขายังไม่พูดอะไรกับผม และยังไม่มีการทาบทาม แต่ถ้ามีการทาบทามก็ต้องขอคิดดูก่อน บอกแล้วว่าจะต้องพิจารณาใคร่ครวญอีกที ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ นโยบายของพรรคตรงกับที่ผมได้ทำมาแล้วหรือเปล่า มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงและดีขึ้นหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องไปเลือกตั้งเหมือนกับคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นถ้าพรรคนี้ดีผมก็จะเลือกพรรคนี้ จะสนับสนุนพรรคไหนที่ดีแล้วเขามาขอให้ผมไปช่วยผมก็จะพิจารณาส่วนจะดีหรือจะเสียผมก็ยังไม่รู้เลย”

 

ยันมีเลือกตั้งท้องถิ่นชัวร์

     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งท้องถิ่นว่าจะต้องมีเลือกตั้งท้องถิ่นและคงจะมีก่อนสักครั้งหรือสองครั้ง แต่จะต้องดูสถานการณ์ก่อน เชื่อว่าทุกคนมีความพร้อมอยู่แล้วไม่ว่าจะเลือกวันไหนก็พร้อมหมด ที่มีการออกมาโวยวายทุกวันนี้ แต่เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งก็ขานรับพร้อม แต่พอกำหนดการณ์ออกมาแบบนี้ก็มีเสียงค้าน ผมไม่พร้อม เวลาไม่พอ สื่อก็นำไปขยายความให้คนเหล่านี้อยู่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้ทำอะไรกันเลยหรืออย่างไร

  “ผมไปเฝ้าบ้านเขาสักวัน เหมือนสื่อเฝ้าฉันหรือเปล่า ก็เปล่าเลย แต่พอไปเฝ้ามากๆ ก็บอกว่าไปละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งฉันขี้เกียจไปเฝ้า หรือตามใครแล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ชี้คสช.ให้ไฟเขียวทุกคำขอ

    พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึรณีคำขอของพรรคการเมืองในการเปิดประชุมพรรคว่า หากพรรคไหนจะขอประชุมก็ให้ขอมาที่คสช. หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองคำขอจดทะเบียนตั้งพรรคแล้ว พรรคที่ส่งคำขอมาก็มีอนุมัติไปบ้างแล้ว ใครที่ไม่ได้ส่งเรื่องมาก็ไม่ได้อนุมัติ โดยที่ผ่านมาตนได้รับรายงานว่ามี 3-4 พรรคส่งคำขอมา ตนก็อนุญาตให้หมด

เผยได้รับร่างยุทธศาสตร์ชาติแล้ว

    นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงร่างยุทธศาสตร์ชาติว่า ขณะนี้ได้รับร่างมาแล้วก็กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุง จากการที่ไปรับฟังความเห็นจากประชาชน รวมถึงรับฟังความเห็นจากส่วนราชการต่างๆ มา ขอให้เข้าใจว่าร่างก็คือร่าง เขาร่างมาก่อน จะต้องรับฟังความคิดเห็น ข้อสังเกตต่างๆ จากหน่วยงานราชการ แล้วรัฐบาลก็มาปรับแก้ตรงนี้ และขั้นตอนต่อไปต้องเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณา มีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากนั้นเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อทำกฎหมาย เมื่อเสร็จแล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธย มีขั้นตอนอีกเยอะ ไม่ได้ง่าย

แต่งเพลงใหม่ “สู้เพื่อแผ่นดิน”

    ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า พล.อ.ประยุทธ์ โชว์เพลงแต่งใหม่ “สู้เพื่อแผ่นดิน” โดยเนื้อหาให้กำลังใจ หวังทำเพื่อประเทศชาติให้ดีขึ้น

    ด้านพ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ แต่งเพลงใหม่ชื่อเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ทั้งนี้เพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” เป็นเพลงในลำดับที่ 6 ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพลงช้า เนื้อหาบ่งบอกถึงความพยายามทำเพื่อประเทศชาติแม้จะมีคำติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะทำทุกอย่างด้วยหัวใจซื่อตรง เพื่อให้พรุ่งนี้ดีขึ้นกว่าเดิม

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” เปิดครั้งแรกในวันที่ 10 เมษายน ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป และพิธีรดน้ำขอพรเนื่องในวันสงกรานต์ที่บริเวณโถงกลางตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” นี้มีการใช้เครื่องดนตรีไทยร่วมกับดนตรีสมัยใหม่และมีท่วงทำนองคล้ายเพลงประกอบละครดัง “บุพเพสันนิวาส”

     ขณะที่ก่อนการประชุมคสช.และการประชุมครม. นายกฯ กล่าวถึงแรงบันดาลใจถึงการแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ว่าเพื่อให้รู้ว่าตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติ

ครม.สั่งเชือดปลัดพม.ให้ออกจากราชการเซ่นโกงเงินคนจน

วิษณุยันยังไม่มีผลขรก.เกษียณ 63

    วันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่แผนการปฏิรูปประเทศกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาถึงการยืดการเกษียณอายุราชการจาก 60 ปีเป็น 63 ปี ว่ายังไม่มีผลบังคับใช้ว่าข้าราชการจะต้องเกษียณอายุราชการในอายุ 63 ปี เพราะเป็นเพียงการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศเท่านั้นโดยเมื่อประกาศใช้แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปศึกษาถึงความเป็นไปได้ แต่ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะต้องใช้เวลาศึกษานานเพียงใดและกรอบเวลาที่กำหนดในแผนปฏิรูปก็สามารถพิจารณาทบทวนได้ ซึ่งการศึกษานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและยืดหยุ่นได้ โดยในแผนการปฏิรูปมุ่งเน้นให้พิจารณาในตำแหน่งที่มีความสำคัญก่อน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีทางศาลยุติธรรมโยนให้รัฐบาลพิจารณากรณีบ้านพักตุลาการบริเวณป่าดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ นั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องเนื่องจากไม่ได้ไปร่วมประชุมด้วย

ทหารไม่เกี่ยวต่ออายุราชการ

    ขณะที่พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่แผนงานปฏิรูปประเทศที่จะขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 63 ปี ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงตุ๊กตาที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งในแผนของการปฏิรูปประเทศไม่มีอะไรที่ต่างจากเดิม แต่ในเรื่องขยายอายุเกษียณราชการยังไม่ได้ข้อยุติ เข้าใจว่าเป็นบางสาขาอาชีพ ในลักษณะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งไม่ใช่เป็นการต่ออายุราชการที่หลายฝ่ายเข้าใจ และคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองทัพ เพราะมีเฉพาะบางสาขาอาชีพเท่านั้น โดยเป็นไปในลักษณะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา หรือผู้ทรงคุณวุฒิ ในเชิงให้คำแนะนำในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็น

แจงแผนปฏิรูปไม่ถูกใจก็แก้ก.ม.เอา

    ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงขั้นตอนดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ว่าไว้ทำควบคู่ไปกับนโยบายของแต่ละรัฐบาล แผนปฏิรูปตอนนี้เป็นโครงสร้างกว้างๆ เรื่องการใช้เงินงบประมาณที่ตั้งข้อสังเกตว่าใช้เงินเยอะนั้น ยังต้องไปทำแผนปฏิบัติการรายโครงการก่อน ถึงจะรู้ว่าใช้เงินเท่าไร ซึ่งแต่ละรัฐบาลต้องดำเนินการตามแผนปฏิรูปที่รองรับมาจากยุทธศาสตร์ชาติ ถ้ารัฐบาลไหนเห็นว่าดีกว่าก็เปลี่ยนได้ โดยบางเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายบางเรื่องไม่เกี่ยวกับกฎหมาย เช่น ร่างกฎหมายกองทุนการศึกษา ถ้าไม่พอใจก็ต้องแก้กฎหมาย ส่วนเรื่องการแก้ไขคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 นั้น ไม่ได้ตาม ไม่เห็นปัญหาอยู่ตรงไหน ดังนั้นยังตอบไม่ได้

 นายกฯ คนนอก-คนในขึ้นกับส.ส.

    เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องจากพรรคการเมืองให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. มีพรรคสนับสนุนอยู่ในบัญชี ไม่ควรมาจากนายกรัฐมนตรีคนนอกนั้น นายมีชัย กล่าวว่า พรรคการเมืองไปสมมุติทิศทางแทนใครไม่ได้ เมื่อประกาศ 3 รายชื่อนายกรัฐมนตรีแล้ว ชาวบ้านจะชอบหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถึงเวลาต้องรอดูสภาผู้แทนราษฎร จะเลือกกันอย่างไร โดยสิทธิขาดการเลือกนายกฯ อยู่ที่ส.ส.

ครม.สั่งเชือดปลัดพม.ให้ออกจากราชการเซ่นโกงเงินคนจน

“ศุภชัย” อุบวันเลือกตั้ง-พร้อมถกรัฐบาล

    ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะนัดกกต.เพื่อหารือกำหนดวันเลือกตั้งนั้น ว่า กกต.เตรียมความพร้อม และมีการกำหนดไทม์ไลน์เกี่ยวกับการทำงานไว้แล้วแต่เรายังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดหรือวันเลือกตั้งต่อสาธารณะได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าเรามีความพร้อม ไม่มีปัญหาอะไร แต่การกำหนดวันเลือกตั้งจำเป็นต้องมีการหารือร่วมกันทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันปัญหาการถูกร้องเรียนในภายหลัง เพราะการหารือร่วมกันของทุกฝ่ายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    นายศุภชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมือง ว่าขณะนี้สำนักงานกกต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารและหลักฐานของกลุ่มการเมืองที่ยื่นคำขอมา หากเอกสารและคุณสมบัติครบถ้วนเราก็จะออกหนังสือรับแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง (แบบ พ.ก.7/2) เราไม่มีการดึงเรื่อง เพราะกกต.มีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ทุกกลุ่มการเมืองที่ยื่นคำขอ ดังนั้นการพิจารณาเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอน ถ้าเราไปเตะถ่วงเราก็จะเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 อย่างไรก็ตามขณะนี้มีกลุ่มการเมืองยื่นคำขอจกแจ้งจัดต้องพรรคเข้ามาแล้ว 98 กลุ่ม ยื่นเรื่องเพื่อขออนุญาตหัวหน้าคสช.เพื่อทำกิจกรรมเกี่ยวกับพรรคการเมือง 38 พรรค กกต.ตรวจเอกสารและส่งเรื่องให้คสช.พิจารณาแล้ว 26 พรรค

บุกซักประวัติกลุ่มนิสิตชูป้าย

     ความคืบหน้ากรณีสืบเนื่องจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปาฐกาถาที่จุฬาฯ ก่อนกลับถูกกลุ่มนิสิตจุฬาฯ บุกชูป้ายโดยข้อความเขียนว่าชาวจุฬาฯ รักลุงตู่ (เผด็จการ) โดยคำว่าลุงตู่มีกากบาทขีดฆ่า สร้างความไม่พอใจให้นายกฯ โดยพูดสวนกลับมาว่า “ปล่อยเขาไป ไม่เข้าใจก็ปล่อยเขาไป ดีเยี่ยม เก่งมาก เวลาประเทศชาติเสียหายให้ออกมาด้วยนะ” ตามที่มีข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดนายธนวัฒน์ วงศ์ไชย นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อเช้านี้ได้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจำนวน 2 คน เข้ามาที่คณะที่ผมเรียนอยู่ เข้ามาสอบถามถึงประวัติส่วนตัวของผม ความประพฤติของผมในคณะ และพยายามจะขอที่อยู่ที่ติดต่อได้ของผม การกระทำของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้คงเป็นผลมาจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่เพื่อนๆ ของผมได้ไปชูป้ายบอกรักเผด็จการที่สยามสแควร์วัน และผมได้ชี้แจงสารที่ถูกเจ้าหน้าที่ฉีกออกไปบนเฟซบุ๊ก

ยกฟ้อง“ครูแขก” แนวร่วมนปช.

     เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.4237/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.อัมพร ใจก้อน หรือครูแขก อายุ 56 ปี ชาวเชียงใหม่ ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานมีวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่องและกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2590 มาตรา 4, 38,74 โดยอัยการโจทก์ ฟ้องพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างต้นเดือนมิถุนายบน 2553–5 ตุลาคม 2553 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแนวร่วมนปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง มีเจตนาร่วมกันมีวัตถุระเบิด ประกอบด้วยวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่องจำนวน 5 ลูก (ถัง) ที่ประกอบเป็นวัตถุระเบิดแสวงเครื่องโดยใช้วงจรตั้งเวลา 1 สัปดาห์ ประกอบกับวัตถุระเบิดแรงต่ำ (Low Explsive) ชนิดดินเทาและยูเรีย น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดหลักบรรจุไว้ในถังดับเพลิงและถังน้ำยาแอร์ และมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ไว้ในครองครองได้ กับเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบด้วย ปืนเล็กกล (AK47) ขนาด 7.62 มม. RUSSIAN เลขประจำปืน 601098 จำนวน 1 กระบอก โดยมีเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวอีกจำนวน 129 นัด เหตุเกิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ต.โสนลอย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ขณะที่คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นขณะเกิดเหตุ และก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้เห็นจำเลยร่วมนำวัตถุระเบิดไปไว้ในห้องเกิดเหตุ พยานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามโจทก์ฟ้อง ซึ่งวันนี้ “น.ส.อัมพร” หรือครูแขก ที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้อง ได้เดินทางมาศาล พร้อมทนายความ เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ “ศาลอุทธรณ์” ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า พยานหลักฐานโจทก์ ยังไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนยกฟ้อง

ศาลสั่งยุติรับมอบรถเมล์เอ็นจีวี

    วันเดียวกันสำนักข่าวอิศรารายงานว่า ในวันนี้ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำสั่งในคดีที่นายสมชาย พรหมเมศวร์ บริษัท สยามสแตนดาร์ด เอนเนอจี่ จำกัด ยื่นฟ้องขสมก. กรณีมติโหวตจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีจากกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ที่นำโดยบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) และบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นเท็จและขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

      นายดรัณ ภูรีสถิตย์ ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท สยามสแตนดาร์ดฯ เปิดเผยว่า ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษา เนื่องจากคดีมีมูลเบื้องต้นว่ามีการลงมติโหวตจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีเป็นเท็จ จากข้อมูลสืบพยานของกรรมการบางท่านที่ยืนยันไม่มีการโหวตแต่อย่างใด ศาลจึงมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับใช้สัญญา นั่นแสดงว่าจะไม่มีการส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวีทั้ง 489 คัน ส่วน 100 คัน ที่วิ่งให้บริการแก่ประชาชนแล้วนั้นเป็นเรื่องของขสมก.ที่จะตัดสินใจว่าจะหยุดวิ่งให้บริการหรือไม่

 

(ข่าวหน้า1 นสพ.คมชัดลึก)

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ