คอลัมน์ 'กวาดบ้านกวาดเมือง' โดย ลมใต้ปีก
วันนี้เรื่องร้อนทางการเมืองคงไม่พ้น”โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่” หรือ “สัปปายะสภาสถาน” มูลค่ากว่า 12,280 ล้านบาท ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บนที่ดินราชพัสดุ ย่านเกียกกาย ขนาดเนื้อที่กว่า 123 ไร่ที่ยังไม่แล้วเสร็จ
นอกจากจะเป็นโครงการที่ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานมากที่สุดแล้วคือกว่า 20 ปีเ เต่วันนี้มันกลับมีกระเเสว่า”เป็นโครงการที่อื้อฉาวมากที่สุดโครงการหนึ่ง”
โครงการนี้เดินเครื่องเเบบเต็มสูบเมื่อเดือนมีนาคม 2556 สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เลือก”บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)” ชนะการประมูลที่เสนอราคาต่ำสุด มีระยะดำเนินการ 900 วัน หรือตั้งแต่ 8 มิถุนายน 2556 – 24 พฤศจิกายน 2558 ระหว่างดำเนินโครงการเกิดปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง มีการขยายสัญญา 3 ครั้ง รวม 1,497 วัน หรือกว่า 4 ปี ซึ่งในสัญญาเดิมนั้นระบุว่า หากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามที่กำหนด “ผู้รับเหมาต้องเสียค่าปรับวันละ12 ล้านบาท”
น่าสนใจว่า”รัฐสภา”ในฐานะเจ้าของโครงการได้เห็นชอบขยายเวลาให้ 3 ครั้ง เกือบ 1,500 วัน คิดเป็นค่าปรับเกือบ 18,000 ล้านบาทนี้ จึงเกิดคำถามว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือไม่ เพราะตอนนี้ “ซิโน-ไทยฯ”จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานเลขาธิการสภาฯ วงเงินราว 1,400 -1,673 ล้านบาท
หนึ่งในยักษ์ใหญ่วงการก่อสร้างที่รับงานนี้จากรัฐสภานั้น อย่าปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง หนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของบริษัทนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกลจากวงการการเมือง ที่ใคร ๆ ก็รู้กันไปทั่วว่า "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คือหนึ่งในเงาผู้บริหารธุรกิจก่อสร้างเเห่งนี้ของครอบครัวชาญวีรกูล
ขอตั้งถามว่าหาก”ซิโน-ไทย”จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในวงเงินดังกล่าวนั้นจริง ขอถามตรงๆไปยังเสี่ยหนูว่า “ในฐานะคนการเมืองที่อาสารับใช้สังคม การเเสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ที่ควรมีมากกว่าจะร้องเรียกความเสียหายจากรัฐสภาหรือไม่”
วันนี้เสี่ยหนูเเละพรรคภูมิใจไทยขอเสนอตัวกับสังคม ในการลงสนามเลือกตั้งเป็นตัวเเทนประชาชน สิ่งที่เสี่ยหนูน่าจะพึงสังวรณ์คือ “การเป็นคนการเมืองควรเสียสละเพื่อสังคม” เเต่วันนี้บริษัทในครอบครัวของเสี่ยหนูกำลังจะฟ้องร้องกับรัฐ ทั้งๆที่”ซิโน-ไทย”ได้รับเกียรติในการเป็นผู้ก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของตัวเเทนประชาชน
“หากจะเอาเเต่ได้เช่นนี้ ก็ไม่ควรเสนอตัวรับใช้สังคม”เพราะการเป็นตัวเเทนประชาชนที่มาจากการเลือตั้งควรท่องไว้ในใจว่า “ต้องเสียสละเพื่อสังคม”
หากบริษัทของครอบครัวเสี่ยหนูยังจะฟ้องร้อง... ก็ไม่เเน่ใจว่าคนไทยจะให้โอกาสเสี่ยหนูเเละลูกพรรคภูมิใจไทยว่า “สมควรที่จะเป็นส.ส.หรือไม่”
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องติดตามคือ รัฐสภาในฐานะนายจ้างของสัญญาการก่อสร้างฉบับนี้ “ต้องทำความจริงให้ประจักษ์ต่อสังคม”ว่า วงเงินที่บริษัทเอกชนรายนี้จ่อฟ้องร้องนั้น “ความผิดนั้นมาจากฝ่ายใดกันเเน่” ไม่อย่างนั้นสังคมจะมองว่า “เรื่องนี้อาจมีนอกมีในเเละมีการสมยอมหรือไม่ระหว่างฝ่ายราชการ ฝ่ายการเมืองกับฝ่ายเอกชน”
วันนี้สังคมบางฝ่ายมองว่า รัฐสภาภายใต้ท็อปบูทกำลังอ่อนโอนให้เอกชน เพราะคนใหญ่คนโตบางคนกำลังใช้พรรคภูมิใจไทยสนับสนุนเเม่ทัพนายกองให้มีบทบาทต่อไปหลังการเลือกตั้งหรือไม่
หากไม่อยากให้เรื่องนี้มีข้อกังหา ขอฝากไปยัง“พรเพชร วิชิตชลชัย”ประธานสนช.ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเเละผู้ดูเเลสัญญาก่อสร้างฉบับนี้โดยตรงนั้น “ต้องดูเเลรักษาผลประโยชน์ของรัฐ”ไม่ให้เกิดความเสียเปรียบ
รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าคสช. ต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้คลายข้อข้องใจ เราเชื่อมั่นว่า”บิ๊กตู่”คงไม่สมยอมกับเรื่องนี้ เพราะภาพการล้างทุจริตที่”บิ๊กตู่”สร้างขึ้นมานั้น ต้องเคลียร์เรื่องครหานี้ให้สังคมคลายข้อกังวล
เรื่องนี้จะไม่จบหาก”บิ๊กตู่เเละพรเพชร”ไม่จัดการให้โปร่งใส ไม่อย่างนั้นขั้วการเมืองตรงข้าม”บิ๊กตู่”ที่จับตาอยู่จะงัดเรื่องนี้ออกมาจุดกระเเสว่า”รัฐบาลทหารเห็นเเก่พรรคพวกเพื่อให้เอกชนรับประโยชน์เพื่อเอื้ออำนวยกับบางสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นบนสนามการเมือง”ก็เป็นได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง