ข่าว

“บิ๊กตู่”หนุนทำก.ม.ลูกให้ชัดส่งศาลตีความ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“บิ๊กตู่”ย้ำอีกครั้งเลือกตั้งก.พ.62เว้นเกิดเหตุที่ควบคุมไม่ได้ยันไม่เกี่ยว“พลังประชารัฐหนุนคำแนะนำ“มีชัย”ส่งก.ม.ลูก ส.ส.-ส.ว.ให้ศาล รธน.

 

          ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงกรณีที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) จะเสนอให้นำร่างกฎหมายลูก ส.ส.และส.ว.ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนญหรือไม่ว่า ขึ้นอยู่กับ กรธ. เชื่อว่าไม่ทำให้โรดแม็พการเลือกตั้งเลื่อนออกไป หรือเกิดความล่าช้า เคยบอกแล้วว่าทุกอย่างต้องไม่ล่าช้าตามกำหนด คือเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถบังคับได้ แต่เชื่อว่าจะพิจารณาได้ทันในเวลาที่มีอยู่ และไม่มีใครอยากให้มีปัญหา ซึ่งตามที่มีการชี้แจงในหน้าสื่อว่ามีความเป็นห่วงว่าวันข้างหน้าอาจจะถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับกฎหมายลูก 2 ฉบับนี้ และจะทำให้การเลือกตั้งต่างๆ มีปัญหา วุ่นวายและอลหม่านไปหมด แต่ได้บอกแล้วว่าขอให้ทำตามกรอบเวลาที่กำหนด

          “บิ๊กตู่”ลั่นเลือกตั้งก.พ.62
          “ไม่ต้องห่วง ยังไงก็ได้เลือกตั้ง แต่ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่มีคนออกมาส่งเสริมสนับสนุนคนที่ออกมาเคลื่อนไหวผิด โดยอ้างเหตุผลต่างๆ เพราะได้ชี้แจงแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้น จะมาเร่งเลือกตั้ง แล้วมาไล่ คสช.ได้อย่างไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แล้วมาอ้างว่าอำนาจอยู่ที่ประชาชน มันก็ใช่ แต่ไปใช้ตอนโน้นจะมาใช้ตอนนี้ไม่ได้ เพราะเราอยากให้บ้านเมืองสงบสุข ขอด้วยเหตุผล และผมไม่ต้องการใช้กฎหมายเพื่อให้มีอำนาจมากๆ เพราะเคยบอกแล้วว่าไม่ต้องการอำนาจ แต่ต้องการเพื่อใช้บริหารราชการแผ่นดินในเวลานี้ ขอสื่ออย่าตีความให้วุ่นวายแล้วนำไปจับผิดคำพูดของผม เพราะถามกันไปมา จนสื่องงคำถาม ผมก็งงคำตอบเหมือนกัน”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

          พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งเรียกร้องให้ยุบคสช.ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 265 ได้ระบุไว้อยู่แล้วว่าคสช.ต้องทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ดังนั้น การยุบคสช.ไม่มีความเป็นไปได้ หากสงสัยให้ไปดูรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว

          ปัด“พลังประชารัฐ”ทาบนั่งที่ปรึกษา
          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคพลังประชารัฐเตรียมเชิญให้เป็นประธานที่ปรึกษาพรรคว่า ยืนยันไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนหากต้องตัดสินใจเลือกพรรคหรือรับนั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษาหรือไม่ก็ยังไม่รู้เช่นกัน อีกทั้งยังไม่มีใครเชิญมาเลย เพียงพูดกันผ่านสื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอเวลาทำงานไปก่อน

          เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล แกนนำพลังประชารัฐ เพื่อนร่วมรุ่นนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ทำไมต้องคุย เพื่อนใคร เพื่อนมี 200 กว่าคน ไม่ได้คุยทุกคน”

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุผลที่พรรคที่ตั้งใหม่ส่วนใหญ่ประกาศสนับสนุนนั้น เป็นเรื่องของการเมือง ส่วนตัวมองว่ามีทั้งพวกที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน วันนี้มีสองฝ่ายเสมอ มีทั้งฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปและฝ่ายที่ต้องการให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม วุ่นวายแบบเดิมๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องติดตามความเคลื่อนไหว และการออกมาพูดจาของแต่ละพรรคการเมืองรวมถึงนักการเมือง แต่หน้าที่ของคสช.ต้องติดตามความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นหลัก ดังนั้นไม่ว่าพรรคหรือนักการเมืองคนใดเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งและความรุนแรงก็ต้องพิจารณาตามกฎหมายว่าควรจะดำรงอยู่หรือไม่ อย่างไร อย่าลืมว่า คสช.ยังมีอำนาจในการรักษาความสงบของบ้านเมือง ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้วแต่ยังพยายามจะฝ่าฝืน

          “มีหลายคนบอกถ้าจะเป็นการเมือง ให้รัฐบาลและให้ผมลาออกตั้งแต่วันนี้ แล้วสมัยก่อนนี้เวลานักการเมืองเขาเป็นรัฐบาลลาออกกันบ้างไหมก่อนการเลือกใหม่ มันคนละเรื่องกัน อย่าไปทำให้บิดเบือนและเกิดความไม่เข้าใจ ประชาชนก็จะมารังเกียจคสช. รังเกียจผมเข้าไปอีก ไปย้อนดูสมัยก่อน ผมก็เห็นนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ไปเลือกตั้ง และไปหาเสียงขณะที่ยังเป็นนายกฯ ด้วยซ้ำ ผมยังไม่เป็นอะไรสักอย่างและไม่ได้ไปหาเสียงด้วย กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้ประเทศเปลี่ยนแปลง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

          สรรเสริญเผยบิ๊กตู่บ่นในครม.
          พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุมครม.ช่วงวาระข้อสั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ ปรารภกับครม.ถึงกรณีมีกระแสข่าวการเตรียมตั้งพรรคพลังประชารัฐว่า “เป็นการไปร่ำลือกันเองว่าเป็นประธานที่ปรึกษา ก็ไม่รู้ว่าร่ำลือกันแบบนี้สังคมจะว่าอย่างไร”

          วิษณุชี้กฎหมายเปิดช่องให้“บิ๊กตู่”
          นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมครม. ถึงกระแสข่าวที่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นที่ปรึกษาพรรคว่า พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือเป็นที่ปรึกษาพรรคได้ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในกฎหมายไม่ได้เขียนห้ามเรื่องนี้ไว้ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้เท่านั้น เนื่องจากถ้าจะลงสมัครรับเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์จะต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2560

          พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ว่า หากถามมุมมอง ยังไม่ทราบ เพราะถือว่าเรื่องจะเล่นการเมืองหรือไม่เป็นเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตามเห็นว่าไม่ว่าใครก็ตามหากต้องการจะไปรับใช้ประเทศชาติและถ้ามีความสามารถก็เป็นได้ แต่ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไปเป็นหรือไม่เป็น ไม่ทราบ

          “บิ๊กป้อม” ไม่สนตอบแค่ “ไม่มีๆๆๆ”
          เมื่อเวลา 14.10 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมครม. ถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเชิญนายกฯ เป็นที่ปรึกษาพรรค ในส่วนของ พล.อ.ประวิตร มีพรรคการเมืองมาเชิญบ้างหรือไม่ว่า “ไม่มีๆ”

          เมื่อถามย้ำว่า หากมีพรรคการเมืองมาทาบทามจะตอบรับเข้าร่วมหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวย้ำว่า "ไม่มีๆๆ”

          “สนธิรัตน์”ปัดจับมือ“สมคิด”ตั้งพรรค
          ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่จะร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งพรรคพลังประชารัฐว่า ไม่จริง และก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครมาทาบทาม ชื่อที่ปรากฏเป็นข่าวก็มีรัฐมนตรีอยู่หลายคน แต่ส่วนตัวไม่ตกใจกับข่าวที่ปรากฏ เพราะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ส่วนตัวไม่เคยเป็นนักการเมืองและไม่เคยเล่นการเมือง แล้วจะมีใครมาทาบทามเรื่องนี้ได้อย่างไร เมื่อถามว่าสนใจการเมืองหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ สนใจอะไรที่ไหน

          “ภูมิธรรม”ปัด“ธนาธร”นอมินี
          ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมืองของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารไทยซัมมิทกรุ๊ปว่า ถือเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เรายินดีต้อนรับพรรคการเมืองใหม่ทุกพรรค ไม่ว่าพรรคดังกล่าวจะมีจุดยืนทางการเมืองเป็นประชาธิปไตย หรือมีแนวคิดทางการเมืองเป็นเช่นไรก็ตาม ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชนได้ตัดสินใจในเวทีเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ นายธนาธรประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเราก็ต้องเคารพการแสดงออกของเขา ส่วนกระแสข่าวที่ว่าพรรคของนายธนาธรจะเป็นนอมินีของพรรคเพื่อไทยนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีใครเป็นนอมินีใครทั้งนั้น เพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนเป็นของตัวเอง และในสนามการเมืองเมื่อถึงการเลือกตั้ง เราก็จะสู้กันอย่างเต็มที่ด้วยนโยบายและแนวคิดของพรรคตัวเอง

          ส่วนกระแสข่าวที่จะมีคนในรัฐบาลหรืออดีตรัฐมนตรี ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ และจะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าดูว่าจะมีองค์ประกอบเป็นเช่นไร หากเป็นตามข่าวจริงๆ เราก็ยินดีต้อนรับ

          “มีชัย”แนะส่งก.ม.ลูกส.ส.-ส.ว.ให้ศาล
          ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบตามการปรับแก้ของกมธ.ร่วม 3 ฝ่าย ว่า กรธ.จะทำความเห็นต่อร่างพ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับ ให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ เนื่องจากมีข้อห่วงกังวลคือ ในร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่ห้ามคนไม่ไปเลือกตั้งเป็นข้าราชการการเมืองนั้น เป็นการตัดสิทธิหรือเสรีภาพ ซึ่งถ้าเป็นสิทธิสามารถตัดได้ แต่ถ้าเป็นเสรีภาพตัดไม่ได้ อีกประเด็นคือการให้เจ้าหน้าที่ช่วยผู้พิการลงคะแนน โดยให้ถือว่าเป็นการลงคะแนนโดยตรงและลับนั้น ซึ่งมันไม่ใช่และอาจขัดกับหลักในรัฐธรรมนูญ

          นายมีชัย กล่าวต่อว่า ส่วนในของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ที่แยกผู้สมัครเป็น 2 ประเภท คือแบบอิสระและองค์กร แต่ในรัฐธรรมนูญบอกให้เลือกกันภายในกลุ่ม อีกทั้งอาจจะมีปัญหาในทางปฏิบัติและความสุจริต เพราะการกำหนดให้ 1 องค์กร สามารถส่งผู้สมัครได้จังหวัดละ 1 คน เช่น หอการค้ามี 76 จังหวัด แต่ละแห่งส่งครบทั้งประเทศ แค่หอการค้าแห่งเดียวก็มีผู้สมัคร 5,000 กว่าคนแล้ว ทั้งนี้หาก สนช.ดำเนินการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตอนนี้ จะไม่กระทบกับโรดแม็พ ส่วนจะต้องทำอย่างไรต้องดูคำวินิจฉัย แต่หากปล่อยไปจนถึงเลือกตั้งส.ว.ไปแล้วมีคนไปร้อง แล้วศาลรัฐธรรมนูญบอกไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จะกระทบต่อโรดแม็พทันที

          ขู่หากไม่ทำระวังโรดแม็พล้มแน่นอน
          “กระบวนการที่อยากให้เร็วมันจะล้มทั้งยืน ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมดต้องเริ่มนับหนึ่ง เขียนกฎหมายกันใหม่ ใครจะเขียน กรธ.ก็ไม่อยู่แล้วตอนนั้น ตอนนี้กรธ.เป็นห่วง หากจะอยู่นิ่งเฉยก็เหมือนไม่ทำหน้าที่ จึงจะส่งบันทึกความเห็นไปให้ สนช.ภายใน 1-2 วันนี้” ประธานกรธ.กล่าว

          เมื่อถามถึงผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้ป.ป.ช.บางรายที่มีลักษณะต้องห้ามอยู่ในตำแหน่งต่อไปนั้น นายมีชัย กล่าวว่า กรธ.เคยทำความเห็นเรื่องนี้เพราะความห่วงใย ตอนนี้นอกเหนือจากกรธ.แล้ว เมื่อศาลวินิจฉัยแบบนี้ก็ย่อมผูกพันทุกองค์กร แต่จะเห็นด้วยหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

          “พรเพชร” หวั่นยื่นตีกระทบโรดแม็พ
          ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายมีชัยเตรียมส่งข้อสังเกตต่อร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ว่า ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว คงต้องรอดูรายละเอียดก่อนว่าเห็นแย้งอย่างไร แต่เมื่อตอนที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภา ก็ได้ยินว่ากรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ทั้ง กรธ. สนช. และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีความร่วมมือกันในการที่จะแก้ไขบทบัญญัติต่างๆ ให้หมดจากข้อกังวล ไม่มีกรรมาธิการร่วมคนไหนอภิปรายทำนองคัดค้านว่าขัดรัฐธรรมนูญเลย หากอภิปรายอย่างหนักแน่นคิดว่าจำนวนสมาชิกที่จะไม่เห็นด้วยอาจจะมีมากกว่าที่ปรากฏ ดังนั้น จะเห็นว่าเป็นไปอย่างประนีประนอม ทำให้สมาชิกรวมทั้งตน สบายใจและออกมาพูดว่าไม่มีปัญหาอะไร

          ชี้ถ้าถกให้จบในชั้นกมธ.ผลอาจไม่แย่
          นายพรเพรช กล่าวอีกว่า ทางแก้ไขก็มีทางเดียวคือยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่สมาชิกต้องไปว่ากันเอง ส่วนตัวไปชี้นำไม่ได้ ทุกคนจับจ้องว่าจะทำให้เลื่อนโรดแม็พการเลือกตั้ง ยื้อการเลือกตั้ง ซึ่งการยื้อหรือเลื่อนโรดแม็พนั้นทุกคนก็มองมาที่ตัวประธานสนช.เป็นหลัก แต่ประธานไม่มีสิทธิบอกหรือบังคับสมาชิกว่าให้ยื่นหรือไม่ยื่น อย่างไรก็ตาม ตั้งใจว่าจะยื่นร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับให้นายกรัฐมนตรีในวันที่ 14 มีนาคม แต่บังเอิญตอนตรวจร่างเมื่อเช้าพบถ้อยคำไม่ตรงกัน ไม่สอดคล้องกัน จึงต้องปรับร่าง ประกอบกับนายมีชัยยื่นข้อสังเกตมาแบบนี้ก็คงต้องให้สมาชิกดูก่อนว่าจะเอาอย่างไร ทั้งนี้ห่วงว่าถ้ายื่นร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.นั้นจะกระทบโรดแม็พ จึงต้องคิดมาก แต่ก็แล้วแต่สมาชิกว่าจะเห็นอย่างไร แต่ในส่วนของร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. หากมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญคงจะไม่กระทบ

          ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ายื่นแล้วศาลให้แก้ ใครที่จะเป็นคนแก้ นายพรเพชรกล่าวว่า ถ้าไม่มีใครแก้สนช.ก็ต้องแก้ แต่ตามขั้นตอนคิดว่ากรธ.ต้องแก้ เพราะกรธ.เป็นเจ้าของร่างแต่แรก แต่ถ้ากรธ.ไม่แก้เราก็ต้องแก้ ต้องหาคนแก้จนได้ ส่วนหากกฎหมายประกาศใช้แล้วมีผู้ร้องในภายหลังใครจะแก้ นายพรเพชรกล่าวว่า รัฐบาลที่รับผิดชอบอยู่ตอนนั้นต้องไปดูว่าจะแก้อย่างไร

          จ่อยื่นศาลรธน.ตีความกฎหมายส.ว.
          ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกกรรมาธิการกิจการวิสามัญ สนช. แถลงผลการประชุมวิปสนช.ว่า ในการประชุมวิปสนช.วันที่ 13 มีนาคมนี้ มีการพูดคุยกันเล็กน้อยเรื่องการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ตามที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. แสดงความเป็นห่วงมา คงต้องนำไปหารือในที่ประชุมสนช.วันที่ 15 มีนาคมนี้ เพื่อสรุปว่า จะยื่นร่างกฎหมายลูกทั้งสองฉบับต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เท่าที่คุยกันร่างกฎหมายสองฉบับไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่หากส่งตีความก็เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะผู้ใหญ่ท้วงติงมาขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง ซึ่งการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความไม่กระทบต่อโรดแม็พเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เนื่องจากได้กำหนดระยะเวลาเผื่อไว้ในเพดานสูงสุดแล้ว

          เมื่อถามว่า มีน้ำหนักมากขึ้นที่สนช.จะยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะนายมีชัยท้วงติงอย่างต่อเนื่อง นพ.เจตน์ กล่าวว่า นายมีชัยเป็นผู้ใหญ่ เมื่อมุมมองนักกฎหมายท้วงติงมา สนช.ต้องรับฟังนำมาหารือกัน ต้องเอาความเห็นของนายมีชัยมาคิดให้หนัก เมื่อผู้ใหญ่ชี้มาเช่นนี้ ต้องคิดให้รอบคอบ ดูแนวโน้มแล้วคงต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะในการประชุมสนช.วันที่ 15 มีนาคม จะง่ายต่อการเข้าชื่อ หลักๆ คนที่เข้าชื่อคงเป็นผู้ลงมติไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง รวมถึงคนที่ไม่ได้มาร่วมโหวตลงมติ แต่ไม่จำกัดสิทธิคนที่ลงมติเห็นด้วยจะมาร่วมลงชื่อก็ได้ เพราะคนลงมติเห็นชอบ อาจเห็นด้วยกับภาพรวมกฎหมาย แต่อาจไม่เห็นด้วยในบางมาตรา

          พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ วิปสนช. กล่าวว่า คาดว่าอย่างน้อยสนช.คงต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในส่วนร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต เพราะกรณีที่กฎหมายประกาศบังคับใช้แล้ว และมีการสรรหาส.ว. 50 คนเสร็จแล้ว ปรากฏว่า มีผู้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ขั้นตอนการสรรหาส.ว.50 คนไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ จะยิ่งเกิดปัญหามากขึ้น เพราะถึงตอนนั้น เมื่อได้ส.ว.ครบถ้วนแล้ว แต่จะเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ เพราะถูกร้องเรื่องการสรรหาส.ว. 50 คน การเปิดประชุมรัฐสภาอาจต้องชะงักไว้ก่อน การเลือกนายกฯ ก็จะชะงักไปด้วย ถึงตอนนั้นจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่หลายคนแสดงความเป็นห่วง จึงต้องการทำให้เกิดความชัดเจน

          “วัชระ”จี้“บิ๊กตู่”สอบรัฐสภาทองคำ
          ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่งก.พ.) นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพื่อขอให้ตรวจสอบนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. และนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาฯ สภาผู้แทนราษฎร กรณีไม่ดำเนินการจัดทำโครงการรัฐสภาทองคำเฉลิมพระเกียรติ

          นายวัชระ กล่าวว่า สมัยนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานรัฐสภาปี 2556 ได้จัดทำโครงการรัฐสภาทองคำเฉลิมพระเกียรติและได้จัดซื้อทองคำจำนวน 7 กิโลกรัม มูลค่ารวม 11 ล้านบาท จนถึงขณะนี้ผ่านมา 6 ปี โครงการดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ จึงขอให้นายกฯ ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

          “นายกฯ”เตรียมบินออสซี่ประชุมอาเซียน
          ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม.ว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคมนี้ ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยการประชุมครั้งนี้จะมีประเทศจากสมาชิกอาเซียนและเครือรัฐออสเตรเลีย รวมทั้งเลขาธิการอาเซียนเข้าประชุมด้วย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกระหว่างผู้นำอาเซียนกับเครือรัฐออสเตรเลีย นอกภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะมีการประชุมภายใต้หัวข้อเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในภูมิภาค เน้นข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมจะมีการรับรองเอกสารเกี่ยวกับการประชุม 2 ฉบับ คือ ร่างปฏิญญาซิดนีย์ ร่างบันทึกความเข้าใจ เพื่อให้เป็นกรอบการทำงาน เสริมสร้างความร่วมมือประสานงานระหว่างอาเซียนออสเตรเลีย เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ประสบการณ์ แนวปฏิบัติ ที่แต่ละฝ่ายมีขีดความสามารถ รวมทั้งการรับมือสถานการณ์ก่อการร้าย เป็นต้น ซึ่งบันทึกความเข้าใจมีผลหลังการลงนาม โดยทั้งสองส่วนไม่มีถ้อยคำให้เกิดพันธกรณีระหว่างประเทศ

          สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย ที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเข้าร่วม ระหว่างวันที่ 16-18 มีนาคมนี้ ที่ประเทศออสเตรเลีย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า จะมีการหารือถึงทุกเรื่อง ขณะที่สาระสำคัญในร่างปฏิญญาซิดนีย์ซึ่งที่ประชุมดังกล่าวจะให้การรับรองนั้น เน้นเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เศรษฐกิจและการสร้างความมั่งคั่ง และการให้ความสำคัญกับประชาชน ซึ่งภาพรวมมีแนวทางที่สอดคล้องกับรัฐบาลไทย

          ยันอียูไม่ส่งคนดูเลือกตั้งไทย
          นายดอน ยังกล่าวถึงการเดินทางเยือนประเทศอิตาลีและเบลเยียม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ได้พบปะหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลีและเบลเยียม รวมถึงคณะผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง และกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทะเลและประมง มีการพูดคุยกันหลายเรื่องและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เขาเห็นด้วยกับเรื่องต่างๆ ที่เรากำลังทำ เป็นสิ่งที่ควรมีความร่วมมือกันต่อไปได้ ขณะที่เรื่องการเมืองในไทยนั้น หลายประเทศทราบถึงสถานการณ์การเมืองของไทย ส่วนการที่ไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งนั้น อียูไม่ได้แจ้งว่าอยากจะส่งคนมาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในไทย เพราะแต่ละประเทศมีเรื่องที่ตัวเองให้ความสนใจมากกว่า

          ‘เอกชัย’ ไม่จบหอบนาฬิกาหรู
          เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่บริเวณประตู 4 หน้าทำเนียบรัฐบาล นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นำธูปจำนวน 36 ดอก จุดและปักไว้ที่โคนต้นไม้ หน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ริมถนนพิษณุโลก โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดี พร้อมทั้งนำแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่แสดงคอลเลกชั่นนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จำนวน 25 เรือน มาแสดง พร้อมยืนยันว่าจะนำมามอบให้ พล.อ.ประวิตร ทุกวันอังคาร หรือทุกวันที่พล.อ.ประวิตรมาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล จนกว่า พล.อ.ประวิตรจะออกมารับด้วยตนเอง ทั้งนี้ นายเอกชัยเคยออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

          นายเอกชัยยังเรียกร้องให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเป็นคนใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งที่ผ่านยังไม่สามารถดำเนินการกรณีนาฬิกาหรูได้ ขณะเดียวกันยังร้องเรียน คสช. ให้ปลด พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากเป็นคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร ที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้แก่สังคมในการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งการทำงานที่ผ่านมาก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) ผู้ต้องหาคดีลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี

          ฎีกาพิพากษาอดีตการ์ดนปช.ยิงเอ็ม79
          เวลา 09.30 น. วันที่ 13 มีนาคม ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดแจ้งผลคำพิพากษาศาลฎีกาให้อัยการโจทก์ ฟังในคดีพยายามฆ่าผู้อื่น หมายเลขดำ อ.4334/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายณรงค์ศักดิ์ หรือตุ้ย พลายอร่าม อายุ 32 ปี และนายพีรพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ อายุ 43 ปี อดีตการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลย ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นฯ จำเลยให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดี

          คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2557 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกร่วมกันใช้เครื่องยิงระเบิดแบบเอ็ม 79 และเครื่องกระสุน ยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.บริเวณสี่แยกเสาวนีย์ ถนนสวรรคโลก ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์เสียหายหลายคัน โดยจำเลยให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 43 ปี 4 เดือน ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยระหว่างฎีกา โดยอัยการโจทก์ยื่นฎีกา

          วันนี้อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ส่วนจำเลยทั้งสองไม่ได้เบิกตัวมาศาล เนื่องจากจำเลยทั้งสองถูกแยกคุมขังในคดีอื่นที่เรือนจำจังหวัดสระบุรีและจังหวัดอื่นในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังที่ศาลดังกล่าวแล้วเมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

          ยกฟ้องทั้ง2คนชี้หลักฐานอ่อน
          ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต โจทก์จะต้องนำสืบความจริงโดยปราศจากข้อสงสัย แต่การนำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพในชั้นสอบสวน ถึงแม้จะมีน้ำหนักรับฟังพยานได้ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนจะต้องมีเหตุผลหนักแน่นน่ารับฟังโดยปราศจากข้อสงสัย แต่ก็ยังพบว่าบันทึกคำให้การข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 มีความขัดแย้งกัน ทั้งที่เบิกความห่างกันไม่เกิน 7 วัน แต่จำเลยที่ 1 กลับให้การแตกต่างกัน อีกทั้งที่จำเลยที่ 1 ให้การว่ามีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ตรงนี้โจทก์สามารถตรวจสอบได้จากบริษัทผู้ให้บริการมือถือ แต่โจทก์ไม่กระทำ ทั้งที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาประกอบคำรับสารภาพให้มีน้ำหนักได้

          ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์มีแต่เพียงพยานบอกเล่าเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน ไม่มีพยานหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ในช่วงวันเวลาเกิดเหตุ อีกทั้งยังไม่มีพยานหลักฐานอื่นๆ ส่วนประเด็นอื่นศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานโจทก์โดยให้เหตุผลไว้ชอบแล้ว ประกอบกับจำเลยที่ 1 และ 2 ให้การปฏิเสธในชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายืนยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายณรงค์ศักดิ์และนายพีรพงษ์ ยังเป็นจำเลยในคดีหมายดำ อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ กรณีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองใช้อาวุธสงครามเอ็ม 79 ยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. บริเวณหน้าอาคารชินวัตร 3 แขวงและเขตจตุจักร กทม. ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 35 ปี 4 เดือน และยกฟ้องนายพีรพงษ์ จำเลยที่ 2

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ