ภาคประชาชาชน เปิดแคมเปญเข้าชื่อเสนอกฎหมายยกเลิก กฎหมาย คสช. ที่ละเมิดหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ตั้งเป้า 10,000 คน
15 ม.ค.61 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่เวลา 09.30 น. 23 เครือข่ายภาคประชาชน เช่น คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) เครือข่ายประกันสุขภาพ เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่ายสลัมสี่ภาค และเครือข่ายแรงงาน ร่วมกันแถลงข่าว ที่ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเปิดตัวโครงการเข้าชื่อผู้สิทธิเลือกตั้ง 10,000 คน เสนอร่างพระราชบัญญัติ "ยกเลิกประกาศและคำสั่งคสช. และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย พ.ศ. .... (ฉบับประชาชน)" เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวยกเลิกประกาศคำสั่งคสช.รวม 35 ฉบับ ซึ่งทางเครือข่ายเห็นว่ามีเนื้อหาจำกัดขัดต่อหลักประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้มีตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆและประชาชนทั่วไปร่วมงานประมาณ 150 คน ภายใต้แคมเปญ "ปลดอาวุธ คสช. ทวงคืนสถานการณ์ปกติ" โดยมีผู้เข้าร่วมอาทิ นายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) นางสุณี ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ทั้งนี้แถลงการณ์ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี 8 เดือนที่คสช.บริหารประเทศมีการใช้อำนาจพิเศษออกประกาศและคำสั่งคสช.และคำสั่งหัวหน้าคสช.มาแล้วอย่างน้อย 533 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 35 ฉบับที่มีเนื้อหาในทางละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่างๆอย่างร้ายแรง เช่น คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ที่ห้ามการชุมนุมทางการเมือง ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเรียกประชาชนไปปรับทัศนะคติในค่ายทหารไม่เกิน 7 วัน เป็นต้น
ซึ่งแม้คสช.จะยุติบทบาทหลังมีการเลือกตั้งและมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ประกาศคำสั่งเหล่านี้ก็จะยังมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป เครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 23 เครือข่ายจึงเห็นสมควรเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อยกเลิกประกาศคำสั่งคสช.ทั้ง 35 ฉบับ เพื่อให้ประเทศกลับสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน และเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง
นายบารมี ชัยรัตน์ จากเครือข่ายสมัชชาคนจน ระบุว่า ทางสมัชชาคนจนได้รับผลกระทบจากประกาศคำสั่งคสช.หลายๆฉบับโดยเฉพาะประกาศคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับนโยบายทวงคืนผืนป่า ซึ่งสมาชิกสมัชชาคนจนถูกผลักดันออกจากที่อยู่อาศัยโดยไม่สามารถต่อรองหรือทำอะไรได้ นอกจากนี้ก็ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 แก้ไขกฎหมายสปก.เปิดโอกาสให้นายทุนเข้าไปใช้พื้นที่สปก.ได้
ขณะที่ นุชนารถ แท่นทอง จากเครือข่ายสลัมสี่ภาคก็ระบุว่า กลุ่มของตนได้พยายามผลักดันเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่อาศัยของคนจนเป็นสำคัญ แต่เมื่อมีการรวมกลุ่มหรือว่าพยายามประชุมกรรมการในกลุ่มตนกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นการชุมนุมทางการเมือง ตามประกาศ คสช. 7/2557 ว่าห้ามชุมนุมทางการเมือง 5 คนขึ้นไป ผลกระทบจากคำสั่ง คสช.เช่นนี้ถือเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพจากกลุ่มคนจน และทำให้ปัญหาหลายส่วนนั้นไม่ได้รับการสะท้อนออกไปสู่สังคมอย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง