
"บิ๊กตู่" แปลงโฉม สู่นักการเมือง!!
"โคทม" มองวาทะกรรม "ประยุทธ์" แฝงนัยสืบทอดอำนาจผ่านตัวบุคคล เตือนอย่าใช้อำนาจ ม.44 ล้ำเส้นเลือกตั้งไม่เป็นธรรม
4 ม.ค.61 – "นายโคทม อารียา" นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า หลังจากที่ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศต่อสาธารณะ ยอมรับสถานะความเป็นนักการเมือง ก็เป็นการส่งสัญญาที่ชัดเจน ทั้งการยอมรับในบทบาทนักการเมือง ที่ผ่านมา นายกฯ ปฏิเสธความจริงเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เข้าบริหารราชการแผ่นดินหลังการยึดอำนาจ และยังเป็นการแปลงโฉมผ่านวาทะกรรมเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการแปลงโฉมดังกล่าวถือเป็นการประกาศการสืบทอดอำนาจผ่านตัวตนที่ชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ คสช. วางการสืบทอดอำนาจแบบแฝงผ่านกติกา และระเบียบต่างๆ เช่น รัฐธรรมนูญ , พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ , คำสั่ง คสช. , สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 250 คนที่มาจากการแต่งตั้ของ คสช. เป็นต้น
"จากพฤติกรรมของ คสช. หรือ พล.อ.ประยุทธ์ สะท้อนให้เห็นเจตนาที่จะสืบทอดอำนาจต่อไปอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ผมประเมินไม่ได้ว่า บิ๊กตู่ จะกระโดดลงสู่สนามการเมืองหรือไม่ แต่เมื่อเขาเปลี่ยนวาทะกรรม โดยให้ตัวเองมีสถานะเป็นนักการเมือง สะท้อนว่าเขาคลายมุมมองต่อนักการเมืองที่โกงกิน คอร์รัปชั่น สร้างความวุ่นวายลง และอาจเป็นไปได้ว่าต่อไปเขาอาจร่วมมือ หรือสนับสนุนพรรคการเมือง ทั้งทางตรง หรือทางอ้อมต่อไป" นายโคทม ระบุ
เมื่อถามถึงข้อควรระวังของ พล.อ.ประยุทธ์ ในบทบาทการเมืองช่วงเดินหน้าสู่โรดแม็พเลือกตั้งปี 61 "นายโคทม" กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการไม่ใช้อำนาจ ทั้งจาก มาตรา 44 หรือ อำนาจบริหาร เพื่อทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม หรือใช้อำนาจอย่างไม่เป็นกลางเพื่อสนับสนุน ช่วยเหลือพรรคการเมืองใดให้ได้เปรียบในการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดีเมื่อมองถึงการเลือกตั้งเพื่อขับเคลื่อนไปสู่การคืนประชาธิปไตยให้ประเทศแล้ว สิ่งที่ คสช. ควรคำนึงที่สุด คือ การนำทหารกลับเข้ากรม กองด้วย



