ข่าว

"อนุทิน"เผยไม่มีครั้งไหนในชีวิตเศร้าเท่าการสวรรคต"ในหลวงร.9"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"อนุทิน" เผย ชีวิตไม่เคยเศร้าเท่าการสวรรคตของ "ในหลวง ร.9" เล่าย้อน วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ต้องกลั้นน้ำตากลับบ้าน เข้าใจเวลาสิ้นรัชกาล มีผลต่อพสกนิกรมากเพียงใด

 

 

          เมื่อวันที่ 13 ต.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า "กิจกรรมหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย" ซึ่งเป็นช่องทางนำเสนอกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความอาลัยการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครบ 1 ปี ว่า 

 

          "คืนนี้เมื่อปีที่แล้ว (12 ตุลาคม 2559) เป็นคืนสุดท้ายที่พวกเราชาวไทยทุกคนได้อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของในหลวงรัชกาลที่เก้า น่าแปลกมากที่คืนนี้ในปีนี้ ผมไม่มีนัดกับใครเลยตั้งแต่ช่วงบ่าย และเนื่องจากเป็นวันหยุดยาว ผมจึงเดินทางมาบ้านผมที่ต่างจังหวัดและได้มีโอกาสนั่งเงียบๆอยู่คนเดียว สักพักก็เริ่มนึกถึงห้วงเวลาว่า ตนเองอยู่ที่ไหนและทำอะไรเมื่อเวลา 15:52 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ในช่วงเวลานั้น ผมจำได้ว่าผมมีนัดทานข้าวกลางวันกับคุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือ เราเริ่มทานอาหารเกือบบ่ายสองโมงเพราะนัดเจอกันในเวลาบ่ายโมงครึ่ง แต่วันนั้นเห็นได้ชัดว่าทั้งคุณนิพนธ์และผมต่างไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมกับรสชาติของอาหารเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าตั้งแต่ช่วงเช้าก็มีข่าวมาจากแหล่งต่างๆ ว่าพระอาการประชวรของในหลวงไม่ค่อยจะดีนัก แต่ผมก็ยังมีความเชื่อว่าพระอาการประชวรก็คงจะทุเลาขึ้นเหมือนทุกครั้ง"

 

          "ผมและคุณนิพนธ์ยังคงทานอาหารและคุยสารพัดเรื่องไปจนถึงเวลาเกือบบ่ายสี่โมง โทรศัพท์มือถือของคุณนิพนธ์ก็ดังขึ้น ผมเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของคุณนิพนธ์ ผมก็พอจะทราบว่าสิ่งที่ผมเป็นกังวลมาตั้งแต่เช้าวันนั้นได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว คุณนิพนธ์วางโทรศัพท์ของท่านแล้วยกมือขึ้นไหว้ท่วมศีรษะพร้อมหันมามองผมด้วยสีหน้าที่หม่นหมองที่สุดแล้วส่ายหน้าไม่พูดอะไร เพราะคงไม่อยากเอ่ยคำว่า สิ้นแล้ว ให้ออกจากปากตนเอง ผมมีอาการเสียวสันหลัง จุกในลำคอ ใจหวิว และ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา จำได้เพียงว่าผมได้พูดกับคุณนิพนธ์ว่า เรากลับบ้านเถอะครับ"


          "เมื่อขึ้นรถผมโทรแจ้งภรรยาของผมและบอกเธอว่าผมกำลังจะกลับบ้าน ทำไมผมถึงกลับบ้าน??? ผมจึงมานั่งนึกได้ในคืนนี้ว่า ทุกๆ ครั้งที่ผมรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย สูญเสีย เสียใจ ผิดหวัง หรือ โศกเศร้า ผมมักจะกลับเข้าบ้าน ไม่อยากพบปะพูดจากับใคร การสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่เก้า คงมีผลทำให้ผมรู้สึกโทมนัสใจ เจ็บปวดใจ เศร้า สูญเสียและขาดความมั่นใจในตนเอง เป็นอย่างมากจนทำให้ผมรีบกลับบ้านในบ่ายวันนั้น เป็นอาการที่แสดงออกมาเองโดยจิตใต้สำนึก และน่าแปลกไหมครับ ที่วันนี้ผมก็กลับบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เมื่อสำรวจตัวเองคนเดียวในคืนนี้ ผมก็พบว่า ผมมีความโศกเศร้า จิตตก และ มีความคิดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่เก้าอย่างสุดหัวใจ ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ผมไม่เคยมีความเศร้าเช่นนี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่ผมก็มีเรื่องเลวร้ายโศกเศร้าและสูญเสียคนที่ผมรักและผูกพัน ผ่านเข้ามาในชีวิตผมก็หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะเทียบได้กับครั้งนี้ ผมได้รับทราบถึงความรู้สึกอย่างแจ่มชัดว่า เวลาสิ้นรัชกาลนั้น มีผลต่อพสกนิกรมากเพียงใด"


          นอกจากนั้น เพจดังกล่าวยังระบุอีกว่า "ผมดูขบวนอัญเชิญพระบรมศพจากศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวังด้วยใบหน้าที่นองด้วยน้ำตา แต่ไม่ได้ร้องไห้ส่งเสียงออกมา ความรู้สึกของผมในเวลานั้นคือ ทำไมในหลวงต้องทรงทนความทรมานจากพระอาการประชวรขนาดนี้ หากท่านจะไปจากเราจริงๆ ทำไมท่านถึงไม่จากไปอย่างไม่เจ็บป่วยหนักหนา ไปตามกฎธรรมชาติ ไม่ต้องทนพระวรกายเป็นหลายปีเยี่ยงนี้ ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ดูแลพระองค์ท่านให้พวกเรา ภาพพระราชกรณียกิจต่างๆได้ปรากฏมาในสมองของผม โดยเฉพาะในช่วงปีท้ายๆของรัชกาลที่พระองค์ท่านยังทรงตรากตรำทำงานทั้งที่ทรงประทับอยู่บนรถเข็น ผมมิบังอาจใช้คำว่าผมรู้สึกสงสารพระองค์ท่านด้วยความยำเกรงในพระบรมเดชานุภาพ แต่ผมคิดเพียงว่า พระองค์ท่านไม่สมควรที่จะต้องทรงประชวรด้วยโรคต่างๆที่ต้องทรงต่อสู้ด้วยน้ำพระทัยที่เด็ดเดี่ยวเพื่อให้พสกนิกรยังคงได้มีในหลวงของพวกเขาให้นานที่สุด ทุกๆครั้งที่เสด็จประทับรถเข็นผู้ป่วยออกมาให้ผู้คนได้ชื่นชมพระบารมี ผมคิดเอาเองว่า พระองค์ท่านไม่ได้เสด็จออกมาเพื่อทรงพระสำราญพระทัย หากแต่เสด็จออกมาเพื่อให้พสกนิกรทั้งหลายได้โล่งใจ สบายใจ คลายความกังวล ใครจะหยั่งรู้ได้ว่าภายในพระราชหฤทัย พระองค์ท่านอาจจะทรงต้องทนกับการรุมเร้าจากพระอาการประชวรมากสักแค่ไหน เพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่ผมจะต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านไปจนตลอดชีวิตและมีความเศร้าโศกเสียใจอยู่ภายในจิตใจมาตลอดตั้งแต่วันนั้น

 

          "อีกไม่กี่วันจากนี้ ก็จะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สิ่งเดียวที่ผมจะทำทดแทนพระมหากรุณาธิคุณอันมหาศาลของในหลวงรัชกาลที่เก้าได้ก็คือ ผมและครอบครัวจะปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์มากที่สุดต่อบ้านเมืองและประชาชนของพระองค์ท่าน จะมีความจงรักภักดีอย่างที่สุดต่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สิบ และ ต่อพระราชวงศ์จักรี และจะเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่จะต้องดำรงอยู่คู่กับราชอาณาจักรไทยและพสกนิกรในร่มพระบรมโพธิสมภาร ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่ว่าจะเกิดอีกในชาติภพไหน ก็ขอให้ได้พานพบและได้เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทพระมหากษัตริย์ที่สุดแสนประเสริฐที่สุดคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามมินทราธิราช ในทุกๆชาติไป ----- ผมเกิดในแผ่นดินในหลวงรัชกาลที่เก้าครับ"

 

 

ปล.ภาพจากเพจเฟซบุ๊คกิจกรรมหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ