ข่าว

"แม้ว"ทวิตรำลึก11ปีโดนยึดอำนาจ-บิ๊กตู่ไม่เกลียดนักการเมือง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

‘แม้ว’ทวิตครบรอบ 11 ปี โดนยึดอำนาจ “บิ๊กตู่” ยันลงพื้นที่สุพรรณไร้ดีลการเมือง หวังสร้างปรองดอง-เลือกตั้งได้โดยสงบ สั่งเช็กโครงการกระทรวงเกษตรฯ ส่อทุจริต

 

      ถือเป็นวันครบรอบ 11 ปีสำหรับการเข้ายึดอานาจของคณะมนตรีความมั่งคงแห่งชาติ (คมช.) จากรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยการยึดอำนาจครั้งนั้นทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ แม้หลังจากนั้นจะได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้งในยุคที่พลังประชาชนได้เป็นผู้นำรัฐบาล แต่นายทักษิณต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้งจนถึงปัจจุบันนี้เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่ามีความผิด

      ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตข้อความเป็นภาษาอังกฤษเนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปี 19 กันยายน 2549 ที่คณะมนตรีความมั่งคงแห่งชาติ (คมช.) ถูกยึดอำนาจ ใจความว่าหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว จะไม่เลือนรางหายไปจากใจของประชาชนชาวไทย และตนเองยังคงห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเสมอ

"แม้ว"ทวิตรำลึก11ปีโดนยึดอำนาจ-บิ๊กตู่ไม่เกลียดนักการเมือง

“บิ๊กตู่” ไม่สนแม้วโพสต์อยู่อังกฤษ

     เมื่อเวลา 14.00 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ถึงกระแสวิจารณ์ที่รัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง ว่าสถานการณ์การเมืองไม่มีอะไรที่จะสงบได้ เพราะเป็นการสร้างความนิยมทางการเมือง ฉะนั้นใครจะว่าอะไรต่างๆก็ตาม ก็รับไปแก้ไขและหาข้อเท็จจริง นำเข้าสู่การตรวจสอบ ซึ่งทำทุกอันไม่ขอตอบอย่างอื่น เพราะตอบอย่างอื่นมันก็วุ่นวายไปหมด ส่วนที่ถามว่ามองอย่างไรกับกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพตัวเองขณะอยู่ที่ประเทศอังกฤษในช่วงเวลาคาบเกี่ยว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอังกฤษนั้น การโพสต์ภาพอะไรต่างๆ เป็นเรื่องของท่าน ห้ามท่านไม่ได้ เคยบอกแล้ว ห้ามท่านไม่ได้ ท่านโพสต์มา หากจะเกิดอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ท่าน ท่านเลือกของท่านเอง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ตนไปควบคุมไม่ได้ พูดไปก็เท่านั้น ก็ไปดูเอาก็แล้วกัน คำถามพวกนี้ไม่ขอตอบ ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของตน

แจงฝ่ายมั่นคงเร่งจับ “ปู” อยู่

     เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หายตัวไป นายกฯ กล่าวว่า ไม่เคยไปไล่ล่าใคร เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่เรื่องของคนไม่กี่คนก็ขยายความขัดแย้งกันอยู่ได้ คำถามวันนี้ 10 เรื่องที่ส่งมาไม่ได้เกี่ยวกับการประชุมครม.เลย เกี่ยวกับเรื่องหนีตรงนั้น หนีตรงนี้ หนีทุกวันแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา เดี๋ยวมันก็จับจนได้ ถ้าจับไม่ได้แสดงว่าเขาไม่ให้ตัว ก็ต้องรออย่างนั้น จะไปจับที่อื่นได้หรือไม่ ไปหาสิ ว่าออกอย่างไร ที่ไหนแล้วจะลงโทษกันอย่างไร ฝ่ายความมั่นคงเขาก็ทำทั้งหมด นึกถึงสิ่งที่ก้าวหน้าบ้าง แต่ถ้าเอาปัญหาเหล่านี้ที่พะรุงพะรัง สิ่งที่จะก้าวไปก็จะก้าวช้า หรือจะเริ่มใหม่ก็เริ่มไม่ได้ เพราะเรื่องเดิมมันเยอะ ขอให้ลองย้อนดู เรื่องเกิดขึ้นอย่างไร และเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตนเข้ามาแก้ทั้งหมด 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เมื่อแก้แล้วก็โดนสังคมและสื่อตำหนิติเตียนทั้งๆ ที่เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ทำ ไม่เคยได้ปฏิบัติ ไม่เคยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แล้วตนจะทำไปเพื่ออะไร ทำไปเพื่อใคร

     “วันนี้มาที่นี่ตั้งแต่ประชุมอารมณ์รุนแรงหน่อย เมืองนี้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ เป็นเมืองที่พระมหากษัตริย์ 30 กว่าพระองค์ กรุงศรีอยุธยาที่นั่งอยู่นี้เพราะบรรพบุรุษรักษาแผ่นดินนี้ไว้ เราอย่าทำลายแผ่นดินผืนนี้ อยู่ด้วยพระมหากษัตริย์มายุคสมัยที่ 4 แล้ว รัตนโกสินทร์อยู่ด้วยความมีระเบียบวินัย ด้วยมาตรการต่างๆ จนมาเป็นประชาธิปไตย เป็นประเทศไทยในวันนี้และเรากำลังให้ประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยที่เป็นปกติ เป็นสากล และวิธีการที่จะไปสู่ตรงนั้นต้องใช้วิธีการพิเศษหรือไม่ หากใช้วิธีการปกติจะไปได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้อยู่ดี แล้วจะทำอย่างไร ขอถามหน่อย ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ละเมิด ไอ้นี่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมรู้อยู่แล้ว แต่มันแก้ด้วยวิธีอื่นไม่ได้ มันก็ต้องแก้ด้วยวิธีนี้ หรือใครคิดว่ามีวิธีอื่น มีไหม มีแต่ผู้รู้แต่ไม่มีผู้ปฏิบัติ มีแต่ผู้ติ ไม่มีผู้ก่อ มันอยู่ไม่ได้หรอกประเทศไทย จะไม่มีอะไรก้าวหน้าได้ ถ้าตราบใดยังเป็นฝ่ายเป็นพวก ไอ้นี่จะเอาซ้าย เอาให้ตาย ไอ้ทางขวาก็ว่าไม่เป็นธรรม ไม่เท่าเทียม ไม่ยุติธรรม ผมก็พยายามอยู่ตรงกลาง แก้ปัญหาทั้งสองทางให้ได้ โดยเอากฎหมายเข้ามาเป็นตัวตัดสิน ก็ยังมาไล่ผม ซึ่งเป็นคนทำอีก ตกลงจะเอาไงกันดี วันนี้ไม่ได้อารมณ์เสีย แต่อารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวต้องไปพบประชาชนอีก” นายกฯ กล่าว

"แม้ว"ทวิตรำลึก11ปีโดนยึดอำนาจ-บิ๊กตู่ไม่เกลียดนักการเมือง

ยันเยือนสุพรรณไร้ดีลการเมือง

     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา โดยได้พบนักการเมืองของพรรคชาติไทยพัฒนาด้วยว่า เรื่องการเมืองก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของการเมือง ขอยืนยันว่าไม่มีข้อตกลงอะไรทั้งสิ้น แต่ต้องการทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ นักการเมืองทุกคนที่ยังอยู่ในแวดวงการเมือง เคยอยู่ หรือจะมาในอนาคต ต้องการให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้ ก็จะเป็นขั้นต้นของการสร้างความปรองดองที่จะนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปซึ่งมีเจตนารมย์เท่านี้ แต่มีสื่อหลายฉบับไปพาดหัวในเรื่องของการเมืองว่าเป็นเรื่องของการดีลกัน ขอยืนยันว่าไม่มีดีล และไม่จำเป็นต้องดีล ถ้าใครคิดเห็นว่าเดินหน้าไปด้วยกันได้ก็มาช่วยกันดูช่วยกันคิด เพื่อจะไม่เกิดความขัดแย้ง วันข้างหน้ามีการเลือกตั้งใครที่จะมาเป็นรัฐบาลจะได้ไม่มีปัญหาอีก เรื่องของการเมืองทุกคนทราบดีอยู่แล้วไม่มีอะไรที่จะสงบได้ การสร้างความนิยมทางการเมืองไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตามยินดีที่จะรับไปเพื่อไปแก้ไขและหาข้อเท็จจริง พร้อมจะนำเข้าสู่การตรวจสอบในทุกระดับ ทุกเรื่อง และจะไม่ตอบอย่างอื่น เพราะถ้าตอบเรื่องอื่นก็จะเกิดความวุ่นวาย

ย้ำกาให้ดี-อย่าหลงคารมใคร

     “ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงสำคัญที่สุด มีผู้ใดทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถือเป็นการทำลายสิ่งเหล่านี้ ทุกจังหวัดต้องเลิกทะเลาะกัน และย้ำว่าประชาธิปไตยต้องดูแลทั้งเสียงส่วนใหญ่และเสียงส่วนน้อย ขอให้ทุกรัฐบาลจำไว้ว่าต้องทำเพื่อคนทั้งประเทศ ขณะเดียวกันยืนยันว่าไม่มีใครมาหลอกอะไรตนได้ อีกทั้งไม่ได้หลับหูหลับตาใครขออะไรมาแล้วให้หมด อาจมีคนมองว่าดีแต่จะเหมือนการกินยาพิษทุกวัน ดังนั้นจึงต้องขอโอกาสและเวลาให้รัฐบาลทำงาน วันนี้ไม่ท้อแท้ บางคนอาจเกลียดหรือไม่ชอบ แต่ถึงจะเกลียดอย่างไรผมก็รักทุกคนเสมอ เกลียดใครไม่ได้ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน และวันหน้าอำนาจก็อยู่ในมือของท่านทั้งหมดในการกา และเลือกตั้ง จึงขอให้กาให้ดี อย่าหลงคารมใครอีก ผมไม่มีคารม แต่มาพูดเฉยๆ ไม่หลอกลวงอะไรท่านอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามนักการเมืองและพรรคการเมืองผมก็เกลียดไม่ได้ เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน เป็นคนไทยที่มาจากการเลือกตั้งของท่าน ผมไม่ได้เลือกตั้งมาเป็นรัฐบาล แต่จะทำให้เต็มที่ตามเวลาที่มีอยู่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

"แม้ว"ทวิตรำลึก11ปีโดนยึดอำนาจ-บิ๊กตู่ไม่เกลียดนักการเมือง

ปูดมี‘เสธ.อ.’แอบอ้างชื่อ

    พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ย้ำว่าเรื่องกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตนไม่ใช่คนตัดสินผิดหรือถูก และขออย่านำเรื่องรัฐธรรมนูญมาขัดแย้งกัน รัฐธรรมนูญมีเกือบ 300 มาตรา แต่คนกลับไปอ่านแค่มาตราเดียว คือการชุมนุมประท้วงเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อบ้านไม่เรียบร้อย มีการใช้อาวุธ จึงทำให้ตนต้องออกมา ซึ่งการชุมนุมประท้วงส่งผลให้ประชาชนและทหารตายไปไม่รู้เท่าไรแล้ว นอกจากนี้ต้องยุติการโกงทั้งหมด ไม่รู้จะโกงอะไรกันหนักหนา และจากนี้ใครเรียกรับผลประโยชน์ให้มาบอกตน เพราะถือว่าทุเรศ ใครอ้างเป็นทหาร ตำรวจ หรือเพื่อนนายกฯ หาหลักฐานมา ล่าสุดมีการอ้างชื่อเสธ.อ. ทั้งที่ไม่ใช่ทหาร ซึ่งจำหน้าเพื่อนได้ทุกคน แต่ไอ้บ้านี่ไม่ใช่เพื่อน ดังนั้นอย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้น

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ถามผู้เข้าร่วมรับฟังว่า “จะเลือกตั้งพรุ่งนี้เลยหรือไม่” จากนั้นได้ล้อเลียนนักการเมืองโดยทำท่ากล่าวปราศรัยพร้อมระบุว่า “พี่น้องทั้งหลายถ้าผมได้เข้ามาผมจะแก้ไขปัญหาสร้างสะพานให้ และแก้น้ำท่วมให้ได้ภายในปีนี้” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถามประชาชนว่า “แล้วทำไหมล่ะ”

บิ๊กป้อมโต้นัดพบ“แม้ว”ที่อังกฤษ

    ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงกระแสข่าวว่าในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจได้พบนายทักษิณที่เดินทางไปอังกฤษเช่นกัน ว่า “ไม่มีเลย ไปคนละเวลา ไม่เจอกัน อีกคนไปเวลาหนึ่งอีกคนกลับเวลาหนึ่ง ผมกลับถึงไทยเวลากลางวัน แต่เขามากลางคืน และใช้สนามบินคนละสนามบินกัน แล้วจะไปเจอกันได้อย่างไร คนก็พูดไป”

     ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสังเกตว่าภายหลังจากหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ จะมีการอนุมัติจัดซื้ออาวุธเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่มีอะไร เรื่องการจัดซื้อก็เป็นไปตามเดิมที่มี เรื่องอาวุธผมไม่ได้ไปดูแต่เป็นทางเหล่าทัพที่ไปดู”

"แม้ว"ทวิตรำลึก11ปีโดนยึดอำนาจ-บิ๊กตู่ไม่เกลียดนักการเมือง

เชื่อก.ม.ส.ส.-ส.ว.เสร็จทัน

    ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ว่า การเลือกตั้งจะสามารถเกิดขึ้นในกลางปี 2561 ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการจัดทำร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เหลืออยู่มีการประกาศใช้ กระบวนการของการจัดทำร่างกฎหมายถูกบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้วว่าขั้นตอนใดใช้เวลาเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าขั้นตอนยังไม่เกิดขึ้น เช่น ไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม หรือไม่มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็ตัดขั้นตอนนั้นไป เป็นต้น แต่ถ้ามีขั้นตอนดังกล่าวขึ้นก็หมายความว่าต้องขยายระยะเวลาออกไปตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด ส่วนกระบวนการสรรหา กกต.ชุดใหม่จะมีผลกระทบกับการเลือกตั้งหรือไม่อย่างไรนั้น กกต.ชุดปัจจุบันยังคงทำหน้าที่รักษาการต่อไปและมีอำนาจตามปกติจนกว่าจะมีกกต.ชุดใหม่ ซึ่งคิดว่าคงไม่เป็นปัญหาต่อการกำหนดวันเลือกตั้ง เพราะกกต.ชุดปัจจุบันยืนยันแล้วว่าจะเดินหน้าทำงานเต็มที่ ส่วนความจำเป็นในเรื่องของการปรองดองก่อนการเลือกตั้งนั้น ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าประเด็นนี้ใครเป็นคนตั้ง อย่างไรก็ตามการสร้างความปรองดองเป็นสิ่งเราเรียกร้อง แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไข การปรองดองเป็นเป้าหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่วนการเลือกตั้งก็ดำเนินการตามโรดแม็พ

      เมื่อถามว่าปัจจุบันร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยังไม่ได้ส่งมายัง สนช. จะมีผลกระทบต่อการ พิจารณาร่างกฎหมายให้ทันตามกำหนดหรือไม่ นายพรเพชร กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าว กรธ.ยืนยันมั่นคงแล้วว่าจะต้องส่งมายัง สนช.ภายในต้นเดือนธันวาคม จึงไม่มีเหตุผลที่จะล่าช้าออกไป เพราะเป็นกรอบเวลาตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อส่งมายังสนช.แล้ว สนช.ก็ต้องทำให้เสร็จภายใน 60 วัน และถ้า 60 วันนั้น กฎหมายเสร็จก็นำขึ้นกราบบังคมทูลฯ และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แต่จากตัวอย่างที่เห็นมาแทบทุกฉบับจะมีการโต้แย้งและต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ มีเพียงฉบับเดียวที่ไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ คือร่าง พ.ร.ป.วิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากกฎหมายไม่ได้เปิดโอกาสให้ศาลยุติธรรมสามารถโต้แย้งได้ ดังนั้นคงต้องดูต่อไปว่าจะตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ ในร่างกฎหมาย ส.ส.และ ส.ว.หรือไม่ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่ยากเพราะต้องรับฟังความเห็นพรรคการเมืองและประชาชนจำนวนมาก ซึ่งสนช.ก็ได้เตรียมการศึกษาล่วงหน้าเอาไว้ก่อน

‘มาร์ค’ ยันไม่เสียหาย ชทพ.พบบิ๊กตู่

    เมื่อเวลา 11.40 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป. กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนในครม.สัญจรที่จ.สุพรรณบุรี โดยมีอดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ไปร่วมต้อนรับว่าถือเป็นเรื่องปกติที่เจ้าของพื้นที่ หรือเจ้าภาพจะไปต้อนรับ การลงพื้นที่ของนายกฯ ที่ไปดูงานเรื่องการเกษตรในพื้นที่แปลงนาสาธิตของนายประภัตร โพธสุธน อดีตเลขาฯ พรรคชทพ. การมีอดีตส.ส.พรรคไปร่วมต้อนรับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และการที่นายกฯ จะคุยกับนักการเมืองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ส่วนจะเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการจับมือระหว่างทหารกับพรรค ชทพ.ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหรือไม่นั้น ต้องไปถามพล.อ.ประยุทธ์ กับคนที่ไปต้อนรับ แต่การพูดคุยกันจะไม่มีอะไรเสียหายหากนำปัญหาของพี่น้องประชาชนไปเป็นตัวตั้ง และเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเป็นการจับขั้วทางการเมืองในเวลานี้ เพราะนายกฯ พูดเองว่าจะดูแลกติกาเลือกตั้งให้ผู้เล่น ส่วนที่นายกฯ บอกว่า อย่าเอานายกฯ ไปเป็นผู้เล่นด้วยนั้น ก็อยู่ที่ตัวนายกฯ จะต้องกำหนดตัวเองว่าจะเป็นผู้เล่นหรือไม่ เพราะนายกฯ เป็นคนเดียวที่จะตอบได้

     นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่นายประภัตร ระบุว่า ยังไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งให้รัฐบาลนี้อยู่ยาวเพราะบรรยากาศยังไม่มีความปรองดองนั้นว่า เข้าใจว่านายประภัตรคงกังวลเรื่องความขัดแย้ง แต่ยืนยันว่าการไม่เดินตามโรดแม็พที่คสช.กำหนดไว้ จะเกิดความเสียหายมากกว่าการที่อ้างว่า หากกลับไปสู่ระบบประชาธิปไตยแล้วจะมีปัญหา ซึ่งจะทำให้หลงทางอีก ดังนั้นหน้าที่ของคสช.จึงต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่าการเลือกตั้งตามแผนที่คสช.กำหนดจะนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยอย่างไร จำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือจากกลุ่มไหน ก็ให้ดำเนินการไป เพราะคสช.และแม่น้ำ 5 สายเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง

จี้กองทัพบกแจงปมเรือเหาะ

     นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างเรือเหาะตรวจการณ์ราคา 350 ล้านบาท ที่กองทัพบกจัดซื้อในช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่า เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงเสนอมาโดยมีหลักคิดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของกำลังพลในการติดตามความเคลื่อนไหว จึงได้อนุมัติแต่เมื่อไปใช้งานแล้วมีปัญหาอย่างไรหรือไม่ หน่วยงานที่นำไปใช้งานถ้าไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่ตั้งใจไว้ก็ต้องออกมาชี้แจง ซึ่งก็ต้องดูว่าเกิดจากอะไรใครต้องรับผิดชอบ ส่วนกรณีที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยยกคำร้องกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ขณะนั้นไปแล้ว ขอชี้แจงว่าหากจะให้รื้อคดีใหม่ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งในครั้งนั้น ป.ป.ช.สอบในกรอบว่ามีการทุจริตหรือไม่ ซึ่งจบไปแล้ว ถ้ามีพยานหลักฐานใหม่จะรื้อฟื้นคดีก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.ที่จะพิจารณา แต่กรณีนี้มีการพูดถึงการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า และไร้ประสิทธิภาพ เป็นคนละกรณีกับการทุจริต ดังนั้นดีที่สุดหน่วยงานปฏิบัติ คือ กองทัพบกต้องสรุปให้ชัดเจนว่ามีปัญหาในการใช้งานอย่างไรเกิดขึ้นจากอะไร ไม่ใช่สรุปแค่ว่าปลดประจำการแล้ว แต่ควรให้ความกระจ่างต่อสังคมในเรื่องการใช้งานด้วยเพื่อจะได้เก็บเกี่ยวเป็นบทเรียนสำหรับการทำโครงการในวันหน้า

"แม้ว"ทวิตรำลึก11ปีโดนยึดอำนาจ-บิ๊กตู่ไม่เกลียดนักการเมือง

ชทพ.ปัดหนุนทหารอยู่ยาว 10 ปี

     ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าพรรคชาติไทยพัฒนาหนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ยาว 10 ปี ว่าถือเป็นความเห็นส่วนตัวของนายประภัตร ที่แสดงความคิดเห็นกรณีหนุนให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ยาวไปถึง 8-10 ปี การที่ ส.ส.อดีตผู้แทนราษฎรพูด จะถือเป็นความเห็นในนามของพรรคการเมืองไม่ได้ ไม่ใช่ในนามพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เพราะขณะนี้พรรคการเมืองไม่สามารถทำกิจกรรมทำการเมืองใดๆ ได้ และการไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการลงพื้นที่นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

     อย่างไรก็ตามนายบรรหารเคยแถลงข่าวไว้ว่าเรื่องของรัฐธรรมนูญมีประเด็นที่มีปัญหาอยู่หลายเรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงเห็นว่าจะไม่รับรัฐธรรมนูญแต่นายบรรหารเองได้แถลงข่าวไว้ชัดเจนว่ารับรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เพราะประเทศจะไปต่อไม่ได้ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง ดังนั้นนายบรรหารรับรัฐธรรมนูญเพราะต้องการให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งพวกเราจะยืนตามความเห็นของนายบรรหาร โดยถือว่าการเลือกตั้งเป็นสารัตถะที่สำคัญทางการเมือง ดังนั้นหากความคิดเห็นของสมาชิกคนใดคนหนึ่งที่ออกมาจึงถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวและไม่สอดคล้องกับอดีตผู้นำของพรรค ไม่ใช่ความเห็นในนามพรรคการเมือง

 

ศาลยืดอุทธรณ์จีทูจีอีก 30 วัน

     วันเดียวกัน นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานสอบสวน และรองหัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีจำนำข้าวและทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี กล่าวถึงการพิจารณาอุทธรณ์คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนักการเมือง, ข้าราชการ, เอกชนและปรับบริษัทจำเลยรวม 18 รายจากที่ยื่นฟ้อง 26 รายทำจีทูจีปลอม โดยยกฟ้องกลุ่มกิจการโรงสีข้าวว่า ที่ผ่านมาประชุมคณะทำงานอัยการ ได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลเป็นเวลา 60 วัน โดยอาศัยหลักประมวลวิธีพิจารณาความอาญา และเหตุผลเนื่องจากมีเอกสารมากที่ต้องพิจารณา โดยยังต้องรอคำวินิจฉัยส่วนตัวขององค์คณะทั้ง 9 คน จากที่ได้คำพิพากษาส่วนกลางมาแล้ว ซึ่งเวลานี้อัยการได้ขอคัดคำวินิจฉัยส่วนตัวมาได้แล้ว 3 ท่าน คือ นายธนฤกษ์ นิติเศรณี เจ้าของสำนวน, นายอภิรัตน์ ลัดพลี และนางพฤษภา พนมยันตร์ ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา พิจารณาคำขอขยายเวลาอุทธรณ์แล้ว (ครบกำหนด 24 กันยายน) ล่าสุดได้มีคำสั่งอนุญาตให้อัยการโจทก์ได้ขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ได้เป็นเวลา 30 วัน นับจากวันที่ครบกำหนดจะยื่นอุทธรณ์ปลายเดือนกันยายน ซึ่งศาลได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยการพิจารณาประเด็นอุทธรณ์นั้นคณะทำงานอัยการก็ประชุมเป็นระยะ ทั้งนี้ ถ้ายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จตามระยะขยายอุทธรณ์ครั้งแรกโดยมีเหตุจำเป็นเรื่องของเอกสาร ซึ่งประเด็นสำคัญจะต้องดูรายละเอียดของจำเลยที่ศาลยกฟ้อง คณะทำงานอัยการก็ต้องขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 2

     นายธนากร แหวกวารี ทนายความของนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและกลุ่มอดีตข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศจำเลยที่ 4-6 คดีทุจริตระบายข้าว เปิดเผยว่า ขณะนี้ก็กำลังรอคัดคำพิพากษาส่วนตัวขององค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่าน ทราบว่าทยอยมีออกมาแล้ว 4 ท่าน ขณะเดียวกันได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลไป 60 วัน โดยศาลก็มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาอุทธรณ์ได้ 30 วัน นับจากวันที่ 24 กันยายนนี้ ที่จะครบอุทธรณ์ และเท่าที่ทราบในส่วนของจำเลยที่ 1 (นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) กับที่ 2 (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ศาลก็อนุญาตขยายเวลาเช่นกัน

จี้ฟันคดีฟอกเงินคดีกรุงไทย

     ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายฟอกเงินกับผู้กระทำความผิดทุกราย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ในคดีความผิดฐานฟอกเงินกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) การทุจริตอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้รับเรื่อง

     นายวันชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาดีเอสไอยังไม่ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเลือกดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องเพียงส่วนหนึ่ง ทั้งที่ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน มีผู้บริหารที่ร่วมอนุมัติเงินกู้ 5 ราย แต่กลับถูกดำเนินคดีเพียง 3 รายเท่านั้น ซึ่งอีก 2 รายที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีคือนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ อดีตกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย

     ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า หลังรับเรื่องแล้วจะส่งให้พนักงานสอบสวนสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีดำเนินการ โดยการสอบสวนได้ชี้แจงไปแล้วว่าพนักงานสอบสวนได้พิจารณาเสร็จและส่งให้อัยการไปแล้ว ส่วนคดีฟอกเงินคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพิ่งให้ข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามา ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งจะเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนจะดำเนินการ

 

สั่งเช็กโครงการก.เกษตรฯส่อโกง

      ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าที่ประชุมครม.อนุมัติโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกร สำหรับผู้ประสบอุทกภัยในปี 2560 โดยโครงการดังกล่าวสืบเนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานว่า ปัญหาอุทกภัยที่เกิดจากพายุเซกัส และพายุตาลัส ทำให้เกิดความเสียหายในภาคการเกษตรจำนวนมาก จึงได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยจำนวน 450,000 ครัวเรือนในพื้นที่ประสบอุทกภัย 43 จังหวัดทั่วประเทศ ในการสนับสนุนกิจกรรมปลูกพืชอายุสั้น การเลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และการประมง ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายครัวเรือนละไม่เกิน 5,000 บาท โดยแต่ละครัวเรือนสามารถเลือกทำกิจกรรมได้เพียงหนึ่งกิจกรรมเท่านั้น โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 60 งบกลาง จำนวน 2,295 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุนประเภทเงินอุดหนุนทั่วไปจำนวน 2,250 ล้านบาท และงบดำเนินงาน 45 ล้านบาท

     พ.อ.อธิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการดำเนินการที่ไม่มีคุณภาพและความไม่โปร่งใส จึงกำชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดูแลในระดับผู้ปฏิบัติว่าเงินที่ลงไปจะต้องถึงประชาชนโดยตรง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้ชี้แจงว่าได้สั่งการในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดที่ดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องรายงานพร้อมประเมินผลให้กระทรวงฯ รับทราบก่อนที่จะรายงานครม.

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ