ข่าว

แกะรอย!!“วีออส-คัมรี่”พา”ยิ่งลักษณ์”หนี!?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ฝ่ายมั่นคงพุ่งเป้ารถเก๋ง 2 คัน พา “ยิ่งลักษณ์”หนี เผยในบัญชีทรัพย์สินเป็นเจ้าของวีออสด้วย

          ประเด็นที่สังคมยังคงให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด คือการหลบหนีไม่ไปฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ล่าสุดเมื่อวันท่ี่ 31 สิงหาคม 2560 ผู้สื่อข่าวจากรายการ “ล่าความจริง” ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นได้ตรวจสอบจากแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงระบุว่า หลังจากสื่อมวลชนนำภาพความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จากกล้องวงจรปิดมาเผยแพร่

       โดยพบว่าในช่วงค่ำของวันที่ 23 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่มีความเคลื่อนไหวของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ในทางเปิดในประเทศไทย มีรถยนต์แล่นเข้า-ออกบ้านในซอยโยธินพัฒนา 3 ของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" มากมายหลายคัน รวมทั้งรถตำรวจคันหนึ่งด้วย แต่รถยนต์ที่ฝ่ายความมั่นคงให้ความสนใจว่าอาจเป็นรถที่พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีมีอยู่ 2 คัน

       ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคงก็คือ หลังจากรับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยรับประทานอาหารกลางร่วมกับคนใกล้ชิดรวม 14 คน ที่ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ ชั้น 1 ของโรงแรมเอสซี ปาร์ค ย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา ซึ่งเป็นโรงแรมของคนในตระกูลชินวัตรแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขึ้นรถโฟล์คตู้ สีดำ หมายเลขทะเบียน ฮพ 4461 กรุงเทพมหานคร เดินทางออกจากโรงแรมไปพร้อมกับ พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย หรือ “สารวัตรหนุ่ย” ตำรวจติดตาม และ น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หรือ “แซน” หลานสาว ซึ่งช่วยงานการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์มาตลอด

          ล็อกเป้า“วีออส-คัมรี”พาปูหนี
          “ช่วงแรกมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจเดินทางไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินเล็กส่วนตัวหลบหนี แต่ล่าสุดยืนยันแล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางกลับบ้านในซอยโยธินพัฒนา 3 เพื่อเก็บของ และคาดว่าน่าจะเปลี่ยนรถ ก่อนจะออกเดินทางตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต” รายงานข่าวจากฝ่ายมั่นคงระบุ

          รายงานข่าวแจ้งต่อว่า สำหรับรถยนต์ที่แล่นเข้า-ออกบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่วงบ่ายถึงค่ำของวันที่ 23 สิงหาคม มีหลายคัน ฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบแล้วพบว่าส่วนหนึ่งเป็นรถยนต์ส่วนตัวของคนในตระกูลชินวัตรเอง คาดว่าเดินทางมาเพื่อร่ำลา ส่วนรถยนต์ที่คาดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เป็นพาหนะในการหลบหนีนั้น ฝ่ายความมั่นคงให้ความสนใจเพียง 2 คัน คือ รถยนต์โตโยต้า รุ่นวีออส กับ รถยนต์โตโยต้า รุ่นคัมรี โดยรถ 2 คันนี้ขับออกจากบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ และขับกลับมาประมาณ 10 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ซึ่งระยะเวลาที่รถหายไป สอดคล้องกับการเดินทางไปส่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ และนครดูไบ

          ส่วนสาเหตุที่ฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้รถ 2 คันนี้ในการหลบหนี เพราะกลุ่มคนที่วางแผนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความระมัดระวังสูง และเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกเจ้าหน้าที่ของ คสช.ตามประกบตลอดเวลา จึงต้องวางเป้าหมายหลอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่หลงทาง โดยเลือกใช้รถที่เจ้าหน้าที่คาดไม่ถึงในการเป็นพาหนะหลบหนี 

          แฉ“ปู”เป็นเจ้าของรถวีออสจริง
          อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเพิ่มเติมของ “ล่าความจริง” พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ช่วงที่พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 1 ปี คือเมื่อปี 2558 โดยแจ้งการเป็นเจ้าของรถยนต์จำนวน 9 คัน

          นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ที่เคยมีข่าวว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ส่งให้ไปตามประกบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์เองก็เคยออกมาโวยก่อนหน้านี้เป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่ผู้ใหญ่ใน คสช.เคยเป็นผู้บังคับบัญชามาก่อน ฉะนั้นจนถึงขณะนี้จึงยังมีข้อสงสัยเรื่องการเปิดทางให้หนีอยู่ ซึ่งคสช.คงต้องออกมาสร้างความกระจ่างให้มากกว่านี้

          บัวแก้วยังไม่รู้“ปู”หนีไปไหน
          ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ถ้ารู้ว่าไปที่ประเทศใดก็สามารถประสานไปได้แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบ ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศก็ได้สอบถามไปถึงประเทศที่ปรากฏเป็นข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปบ้างแล้ว

          ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจได้ประสานกระทรวงต่างประเทศเพื่อขอความร่วมมือในการติดตามตัวหรือถอนพาสปอร์ตบ้างหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ยังไม่มีการประสานอะไรมา คาดว่าผู้เกี่ยวข้องคงจะมีวิธีการไปดำเนินการเองเนื่องจากทุกวันนี้มีช่องทางที่จะดำเนินการได้หลายช่องทาง ทั้งนี้กระทรวงต่างประเทศไม่จำเป็นต้องสอบถามจากทางสถานทูตตลอดเวลา ไม่ต้องคุยอะไรเจาะจงและส่วนตัวมองว่ายังไม่จำเป็นที่กระทรวงการต่างประเทศจะใช้ช่องทางสายด่วนประสานกับประเทศเพื่อนบ้าน

          ผบ.ตร.ปิดปากโยน“ศรีวราห์”
          เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีภาพเผยแพร่เป็นรถยนต์ตำรวจวิ่งเข้าออกบ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคืนวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีกระแสข่าวว่าเป็นคืนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนี ว่า “ไม่ทราบ” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้สั่งการให้ตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวสั้นๆ ว่า “ท่านศรีวราห์” เมื่อถามย้ำว่า หากพบมีรถตำรวจเข้าออกบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าใครเป็นคนขับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า “มอบให้ท่านศรีวราห์หมดแล้ว”

          “มาร์ค”ซัด“แม้ว”โวยเฉพาะที่ตัวเองแพ้
          ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยกคำพูดของมงแต็สกิเยอว่า การอ้างอิงคำพูดดังกล่าวจะเป็นจริงต่อเมื่อมีคนอาศัยคราบของกระบวนการยุติธรรม หรือการใช้กฎหมายนี้แต่ไม่มีความเที่ยงตรง เที่ยงธรรม ตนมีคำถามคือ ทำไมนายทักษิณถึงตั้งคำถามนี้กับกระบวนการยุติธรรมเวลาที่ตัวเองไม่ชนะคดี ทำไมตอนตัดสินคดีพันธมิตรไม่อ้างอิงคำพูดมองมงแต็สกิเยอ เพราะฉะนั้นคำพูดจะอ้างอิงมาอย่างไรนั้นก็คงต้องดูที่มา ขณะเดียวกันเผด็จการในคราบประชาธิปไตย บางทีก็รุนแรงกว่าเผด็จการที่เปิดตัว ดังนั้นต้องดูพฤติกรรมว่าเป็นอย่างไร แล้วก็ตกลงคำนี้จะใช้กับสถานการณ์อะไร

          “ถ้าเขามีความชัดเจนว่ากระบวนการยุติธรรม หรือการใช้กฎหมายนี้มีการบิดเบือนตรงไหนอย่างไร แล้วแสดงให้เห็น ผมว่าก็จะทำให้คำพูดนี้มันฟังได้ เช่น ถ้าเกิดว่ามีใครไปทิ้งถุงขนม แล้วศาลรับถุงขนม แล้วตัดสินตามที่ขอ ถ้าอย่างนี้ผมว่าใช่เลย แต่นี่เราก็ยังไม่เห็นมีอะไร อยู่ดีๆ ก็หยิบตรงนี้ขึ้นมา ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าเราจะวิจารณ์แต่ละคดีนั้น ถามว่าผมเห็นด้วยกับทุกคดีที่ตัดสินไหม ผมก็ไม่ได้เห็นด้วย บางคดีผมก็แพ้ ฝ่ายผมก็แพ้ ผมก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่ว่าถ้าเราเลือกแต่จะบอกว่าเมื่อไหร่ที่เราแพ้ แปลว่ามันสองมาตรฐาน แปลว่ามันบิดเบือน ผมว่ามันก็เกินไป ยกเว้นอย่างที่ผมบอก คุณมีหลักฐานไหมว่าผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมนี้เขาใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่ชอบอย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

          ไม่ให้ประกัน“บุญทรง”รอบสอง
          วันเดียวกัน นายนรินทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ที่ถูกคุมขังในเรือนจำจากคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี เปิดเผยถึงการยื่นประกันตัวนายบุญทรงว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 30 สิงหาคม ได้มอบอำนาจให้ทีมทนายความนำคำร้องขอประกันตัวรอบใหม่ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วซึ่งต้องรอฟังคำสั่งจากศาลว่าจะมีเหตุผลในเรื่องนี้ประการใด โดยช่วงบ่ายวันนี้จะเดินทางเข้าเยี่ยมนายบุญทรงก่อน

          ต่อมาเวลา 12.00 น. ศาลฎีกาฯ ไม่อนุมัติให้ประกันตัว
          นายนรินทร์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้แจ้งคำสั่งศาลให้นายบุญทรงทราบแล้ว โดยศาลได้มีคำสั่งระบุว่ายังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ซึ่งหลังจากนี้จะเตรียมทำคำอุทธรณ์คดีเพื่อยื่นให้ทันตามกฎหมายบัญญัติไว้ 30 วัน ส่วนเรื่องประกันตัวตอนนี้ยังจะไม่ยื่นคำร้องใหม่ แต่วางแนวทางไว้ว่าจะยื่นคำร้องขอประกันตัวครั้งใหม่พร้อมกับคำอุทธรณ์คดี

          นายนรินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับหลักทรัพย์ที่ได้ยื่นประกันตัวล่าสุดในครั้งนี้ก็เป็นหลักทรัพย์เดิม ส่วนคำร้องก็ได้ระบุเหตุผลไว้ซึ่งเป็นเรื่องของข้อกฎหมายที่ให้ศาลวินิจฉัยเกี่ยวกับการประกันตัวโดยไม่ได้ระบุถึงเหตุเรื่องสุขภาพของนายบุญทรงแต่อย่างใด โดยเราก็ยอมรับและเคารพถึงเหตุผลที่ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว สำหรับนายบุญทรงนั้นขณะนี้เรื่องสุขภาพก็มีอาการที่ดีขึ้น วันนี้ที่ได้พูดคุยกับนายบุญทรง น้ำเสียงก็พูดคุยได้ชัดเจน

          จำเลยร่วมจ่อยื่นขอประกันตัว
          ขณะที่นายธนากร แหวกวารี ทนายความของนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 4 และจำเลยร่วมกลุ่มอดีตข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สำหรับนายมนัส และจำเลยร่วมที่ 5 และ 6 กำลังรวบรวมเอกสารเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของนายมนัสจากครอบครัว และหลักฐานอื่นในส่วนของจำเลยร่วมเพื่อจะประกอบในคำร้องขอประกันตัว ซึ่งหากเอกสารพร้อมและยื่นทันภายในสัปดาห์นี้ก็จะดำเนินการทันที มิเช่นนั้นก็อาจจะเป็นสัปดาห์หน้า ส่วนหลักทรัพย์ก็จะยื่นหลักทรัพย์เดิมไว้ก่อน ส่วนศาลจะวินิจฉัยอย่างไรก็พร้อมจะดำเนินการ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษานั้นตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 ให้ยื่นต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วันนับจากที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 25 กันยายน ทั้งนี้ สำหรับหลักทรัพย์ประกันตัวเดิมของนายบุญทรงนั้น เป็นเงินสดวงเงิน 30 ล้านบาท ส่วนนายนายมนัส 12 ล้านบาท และของนายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 กับนายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6 หลักทรัพย์เดิมก็คนละ 8 ล้านบาท ขณะที่เหตุผลเดิมที่ศาลเคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวพวกจำเลยในคดีนี้เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี

         

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ