ข่าว

ฎีกายืนยกฟ้อง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" สลายม็อบแดงฟ้องผิดศาล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ฎีกายืนยกฟ้อง"อภิสิทธิ์-สุเทพ"หลังวินิจฉัยข้อ กม.อำนาจสอบสวน-ฟ้องคดีสลายม็อบ นปช.ปี53 ชี้ไม่ถูกดีเอสไอสรุปเรื่องส่งอัยการฟ้องอาญา เป็นเรื่องกระทำในหน้าที่ รธน.

 

          ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 31 ส.ค.60 เวลา 09.30 น. ศาลนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาในการวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 และ อ.1375/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อายุ 53 ปีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อายุ 67 ปี อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 สืบเนื่องจากการออกคำสั่ง ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณ ถ.ราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย.- 19 พ.ค.53 กระทั่งนายพัน คำกอง ชาว จ.ยโสธร อายุ 43 ปี คนขับแท็กซี่ และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา อายุ 14 ปี เสียชีวิตบริเวณใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ทลิงค์ สถานีราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค.53 และนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ถูกกระสุนยิงมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์ในพื้นที่ย่านราชปรารภ ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส

          โดยในชั้นสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้ต่อสู้ประเด็นการสอบสวนและดำเนินคดีว่า ไม่ได้เป็นอำนาจของดีเอสไอที่จะรวบรวมหลักฐานสรุปสำนวนฟ้องให้อัยการ แต่การสอบสวนเป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

          ซึ่งหลังจากอัยการยื่นฟ้องคดีและก่อนที่ศาลอาญาจะพิจารณาคดี จำเลยได้ยื่นคำร้องวันที่ 10 มิ.ย.57 ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวด้วย ต่อมาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 57 ให้ยกฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่า แม้อัยการโจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองออกคำสั่ง ศอฉ.ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนในการผลักดันผู้ชุมนุม หรือกระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เดือน เม.ย.53 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 พ.ค.53 โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวนั้นก็เกี่ยวพันกับการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ

          ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการด้วยซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ควรพิจารณาไปในวาระเดียว ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (1) และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ที่ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ และให้ยกคำร้องที่นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่บาดเจ็บ กับนางหนูชิต คำกอง ภรรยาของนายพัน ที่เสียชีวิตขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย 
          ต่อมาอัยการโจทก์ , นายสมร กับนางหนู ผู้เสียหาย มอบอำนาจให้นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความยื่นอุทธรณ์ โดยเมื่อวันที่ 17 ก.พ.59 มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งเห็นว่าเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะส่วนตัว แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การสอบสวนเพื่อเอาโทษแก่จำเลยทั้งสองจึงเป็นอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช.ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19, 66 และรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 250 (2) ประกอบมาตรา 275 การที่โจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอซึ่งไม่มีอำนาจในการสอบสวน การฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลอาญาจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจรับคดีทั้งสองสำนวนไว้พิจารณา อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย ส่วนนายสมร และนางหนูชิต ที่ร้องขอเป็นโจทก์ร่วมนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อศาลอาญาไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้นก็ชอบแล้ว 

          กระทั่งอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมได้ยื่นฎีกาตามสิทธิกฎหมายว่าข้อกล่าวหาจำเลยทั้งสองก็ได้นำผลชันสูตรผู้เสียชีวิตมากล่าวหาตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่า ซึ่งคดีนี้ต้องให้ศาลอาญาเป็นผู้วินิจฉัย

          อย่างไรก็ดีการฟังคำสั่งในวันนี้ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จำเลย เดินทางมาฟังคำสั่งพร้อมทีมทนายความขณะที่อัยการโจทก์ก็มาศาลเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมที่ส่งทนายความมาฟังผลคดี

          ทั้งนี้คำสั่งศาลฎีกา ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 มีบุคคลถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมดังกล่าว ที่จำเลยที่ 1 ได้ให้ ศอฉ. ดำเนินการควบคุมให้มีการกำหนดแนวห้ามผ่าน และให้ใช้อาวุธปืนเท่าที่จำเป็น จำเลยที่ 2 ได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. มีการให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงและพลแม่นปืน การออกคำสั่งขอให้สลายการชุมนุมเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตและได้รับอันตราย ซึ่งแสดงว่าตามคำฟ้องโจทก์ได้อ้างการออกคำสั่งดังกล่าวในขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ฟ้องในฐานะส่วนตัว

          ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการกล่าวหาผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 250 (2), 275 ที่ให้ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปผลพร้อมทั้งความเห็นการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยังเป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19 (2) , 66 วรรคหนึ่ง, 70 เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง,พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (1), 10, 11, 24 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 เมื่อจะต้องดำเนินกระบวนการตามกฎหมายที่วินิจฉัยแล้ว

          การที่ดีเอสไอได้สอบสวนแล้วสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาลอาญานั้น ไม่เป็นไปตามกระบวนการและช่องทางตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ขณะที่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง ถือเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย และมีคำสั่งตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24, 142 และประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามทั้งสองศาลที่ให้ยกฟ้อง เนื่องจากคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลแล้ว คดีอาญาในส่วนนี้จึงถึงที่สุดแล้ว

          ภายหลังฟังคำพิพากษา นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบคำถามสื่อเพียงสั้นๆ ว่า คดีในศาลนี้ถือว่าจบแล้ว ส่วนที่กรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ให้นำเรื่องการสลายผู้ชุมนุม นปช. ขึ้นมาพิจารณาใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวเพียงว่า เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ส่วนตนยังไม่ได้รับแจ้งอะไรจาก ป.ป.ช. 
          ด้านนายสุเทพ อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า คดีนี้ตนกับนายอภิสิทธิ์ ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ซึ่งเป็นข้อหาที่ค่อนข้างจะแปลกเนื่องมาจากกรณีที่เกิดเหตุจลาจลก่อการร้ายเมื่อปี 2553 ตนและนายอภิสิทธิ์มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในขณะนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จเรียบร้อย แต่เมื่อมีผู้เสียชีวิตก็ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้ามิชอบ จึงมีการฟ้องมาที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับฟ้อง 

          "ผมเรียนว่าท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามภาระรับผิดชอบ โดยถูกต้องตามกฎหมาย จริงๆ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องมาเป็นจำเลยด้วยเหตุใดไม่ทราบ โดยกฎหมายทั้งหมดผมเป็นผู้รับผิดชอบ นายกฯ เป็นผู้สั่งการ ผมเป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหานี้" นายสุเทพ กล่าวและว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ป.ป.ช.ก็ได้วินิจฉัยไปแล้ว ส่วนศาลก็ได้วินิจฉัยตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา

          เมื่อถามถึงกรณี นปช. ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. รื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาฟ้องใหม่ โดยใช้ตัวอย่างคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นบรรทัดฐาน และถ้า ป.ป.ช.จะพิจารณาคดีนี้อีกครั้งตามขั้นตอนที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไว้จะดำเนินการอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่แปลกใจอะไร กลุ่มนี้เขาตั้งหน้าตั้งตาจะเล่นงานพวกตนอยู่แล้ว ในส่วนของ ป.ป.ช.ตนก็พร้อมที่จะต่อสู้คดีซึ่งได้เตรียมหลักฐานไว้ตั้งแต่ตอนบวชเป็นพระแล้ว โดยเขียนเนื้อหารวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดอยู่ในหนังสือที่ได้ยื่นไว้กับ ป.ป.ช. ขณะนั้นตนก็โดน ป.ป.ช. สอบสวนนานมาก และทำเป็นหนังสือไว้จำหน่ายในชื่อ "คำให้การพระสุเทพ ปภากโร" เพื่อเอาทุนมาตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และเมื่อ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วเห็นว่าตนทำตามหน้าที่ก็จบ

          เมื่อถามว่า มีความมั่นใจหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษายกฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับพวก ในการสลายการชุมนุมเช่นเดียวกันแล้วใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เหตุการณ์ในคดีนั้นแตกต่างกัน คือ 1.ตอนที่ตนมีคำสั่งต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัตินั้นก็ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเรียกว่าอยู่ในกรอบของกฎหมาย 2.การสั่งการในแต่ละขั้นตอนได้มีคณะกรรมการร่วมพิจารณาว่ามีความจำเป็นเพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความสงบ และได้หลีกเลี่ยงวิธีที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน อย่างการใช้แก๊สน้ำตาตนมีคำสั่งไม่ให้ใช้ประเภทยิง ให้ใช้แบบขว้างเพราะถ้าใช้แบบยิงจะถูกประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ แต่กรณีที่ต้องสั่งให้มีการใช้อาวุธจริงนั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนเสียชีวิตแล้วบนถนนราชดำเนิน จำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธจริงได้เพื่อระงับยับยั้งฝ่ายที่จะทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายประชาชนและทำร้ายเจ้าหน้าที่

          เมื่อถามถึงคดีชุมนุมของ กปปส. อยู่ในกระบวนการขั้นตอนไหนแล้ว นายสุเทพ กล่าวว่า ตอนนั้น คสช. ยึดอำนาจ พวกตนก็ถูกนำตัวไปอยู่ค่ายทหาร พอออกมาก็ได้โอกาสเข้าไปมอบตัวเพื่อสู้คดีที่สำนักงานอัยการสูงสุด ต่อมา นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องแกนนำ กปปส.ทั้งหมด ต่อมาพนักงานอัยการจึงสั่งให้ดีเอสไอทำการสอบสวนเพิ่มเติม ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนยังไม่เสร็จ คดีสลายการชุมนุมปี 2552-2553 ขณะนี้ยังมีอยู่แค่นี้ แต่เหตุการณ์ชุมนุมในปี 2556-2557 มีเยอะอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฟ้องตนและประชาชนอีก 38 คน กล่าวหาว่าขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งเสียหาย โดยเรียกค่าเสียหาย 3,100 ล้านบาทเศษ ซึ่งตนจะต้องไปยื่นแก้คดีภายใน 30 วัน

          เมื่อถามว่า แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีแล้วแต่คดียังไม่เสร็จสิ้น นายสุเทพ กล่าวว่า ให้ทำใจเป็นกลาง อย่าเพิ่งพูดว่าหลายปี เพราะคดีแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร คดีแต่ละคดีก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม จำเลยทุกคนมีสิทธิที่จะต่อสู้คดี นอกจากนี้คดีอื่นๆ ก็ใช้เวลาต่อสู้นานเหมือนกัน สำหรับแกนนำ กปปส.ส่วนหนึ่งนั้นอัยการก็ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว อยู่ระหว่างการสู้คดีในชั้นศาล ตอนนี้ยังสืบพยานโจทก์ไม่หมด เมื่อถึงกำหนดสืบพยานจำเลย ตนก็จะไปเบิกความเป็นพยาน   

          เมื่อถามว่าอัยการสูงสุดมีหนังสือกำชับให้สอบพยานเพิ่มเติมให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า  เวลาจะสอบสวนแกนนำ กปปส.เพิ่มเติม ทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอก็จะเรียกไปถาม แต่ในส่วนของจำเลยยืนยันยังไม่ได้รับหนังสือ และอัยการคงจะกำชับพนักงานสอบสวนมากกว่า

          เมื่อถามถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ทวิตเตอร์พาดพิงกระบวนการยุติธรรม นายสุเทพ กล่าวว่า ตนอ่านคอลัมน์ของเปลว สีเงิน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ตนเห็นด้วยกับที่บอกว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่ารัฐบาลที่อ้างประชาชน แล้วใช้อำนาจหน้าที่ทำร้ายประเทศชาติและประชาชน

          ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีนัดแรก นายสุเทพ กล่าวสั้นๆ ว่า "หาให้เจอก่อน"
          ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายผู้เสียหาย โจทก์ร่วม กล่าวว่า ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เป็นนักการเมืองซึ่งจะต้องฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลอาญาไม่มีอำนาจรับฟ้อง ดังนั้นคดีที่ผู้เสียหายเคยยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเองที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นลักษณะการกระทำความผิดแบบเดียวกัน ซึ่งศาลเคยอนุญาตให้โอนคดีนั้นมายังศาลอาญาตามที่เราเคยขอนั้น ก็คงไม่ขอดำเนินการต่อเพราะศาลก็คงจะมีคำสั่งในลักษณะเดียวกัน

          ส่วนจะดำเนินการใดต่อไปนั้น แม้ ป.ป.ช.ไม่ชี้มูลผู้ที่กระทำให้เกิดการตายทั้งผู้สั่งการ ผู้ปฎิบัติและผู้ควบคุมการปฏิบัติ แต่ก็ได้วินิจฉัยว่าถ้าผู้ใดไปกระทำการเกินเลยหรือกระทำผิดก็เป็นเรื่องของบุคคล ดังนั้นเราจะไปดำเนินการกับผู้กระทำผิดเหล่านั้นต่อไป ซึ่งการสลายการชุมนุมปี 53 มีการตายเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์และหลายพื้นที่จะต้องไปดูรายละเอียด ดีเอสไอจะต้องไปดูรายละเอียดแต่ละเหตุการณ์ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละศพซึ่งเป็นต่างกรรมต่างวาระ โดยตนจะติดตามดีเอสไอว่าจะดำเนินการอย่างไร ขณะที่ตนยังมองไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องและอยู่ใน ศอฉ.ซึ่งดีเอสไอ จะต้องสอบสวนต่อไป

          ที่ผ่านมาในชั้น ป.ป.ช.เราก็มีการร้องว่าจะให้รื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ แต่ก็จะต้องดูว่าเป็นไปได้แค่ไหนเพราะที่ผ่านมา ป.ป.ช.จะไต่สวนเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ยังไม่ได้ไต่สวนเรื่องของข้อหาคดีในเรื่องของการฆ่าเลย เรื่องนี้ตนจะต้องดูรายละเอียดอีกทีและอาจจะยื่นให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเกี่ยวกับเรื่องการฆ่าประกอบไปด้วย เพราะศาลฎีกาเองก็เขียนไว้ชัดว่าความผิดที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดที่ ป.ป.ช.จะต้องไต่สวน ซึ่งเราจะอ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาว่า ป.ป.ช.จะจำเป็นต้องไต่สวน เรายังไม่หยุดเราจะต้องไต่สวนให้ได้ตัวผู้กระทำความผิด.

อ่านเพิ่มเติม ฎีกาชี้ชะตา "อภิสิทธิ์-สุเทพ"คดีสลายม็อบนปช.ปี53


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ