ข่าว

เหตุผลศาลฎีกา ทำไมพิพากษาจำคุก “จตุพร”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกจริง 1 ปี “ตู่ จตุพร” หมิ่นประมาท “อภิสิทธิ์” จัดฉากสร้างสถานการณ์ใช้ความรุนแรงปราบม็อบ ศาลชี้ พฤติการณ์เลือกหยิบข้อเท็จจริงเฉพาะส่วน

ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 20 ก.ค.60 เวลา 09.45 น. ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.1962/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332

    โดยนายอภิสิทธิ์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.52 กรณีเมื่อวันที่ 14 เม.ย.52 และวันที่ 10 พ.ค.52 จำเลยปราศรัยในที่ชุมนุม นปช.ใส่ความโจทก์ทำนองว่า เป็นรัฐบาลชั่วเลวที่สุด สั่งการให้คนเสื้อน้ำเงินยิงคนเสื้อแดงช่วงการประชุมอาเซียน สร้างสถานการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยว่าถูกกลุ่มคนเสื้อแดงทุบรถเพื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดง เป็นการจัดฉากของรัฐบาลทรราชฟันน้ำนม และเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดโจทก์จะต้องถูกประหารชีวิต ข้อหาฆ่าคนตาย และข้อความอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ การกระทำของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จากประชาชนที่ได้ยินได้ฟังการปราศรัยของจำเลย เหตุเกิดที่วัดไผ่เขียวแขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ซึ่งนายจตุพร จำเลยให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.55 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากทางนำสืบรับฟังได้ว่าเป็นกรณีที่ได้มีการปราศรัย แถลงข่าววิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นการตอบโต้ทางการเมืองทางวิธีทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย จึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท 

    ต่อมา นายอภิสิทธิ์ โจทก์ ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริง ที่เป็นมูลเหตุที่นำมาสู่การกล่าวหมิ่นประมาท ที่ไม่ใช่เพียงการโต้ตอบทางการเมือง โดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.57 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องเช่นกัน เนื่องจากรูปคดีมีเหตุผลที่ทำให้นายจตุพร จำเลย เชื่อว่าน่าจะมีมูลเหตุในเรื่องที่ได้กล่าวถึงจริง ซึ่งการกล่าวของจำเลยเป็นการปกป้องตนหรือป้องกันส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยนายอภิสิทธิ์ โจทก์ ได้ยื่นฎีกา 

    ซึ่งวันนี้ นายจตุพร ปธ.นปช. เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมด้วยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ฝ่ายโจทก์ก็มีทนายความ มาร่วมฟังคำตัดสินด้วย
 
    ทั้งนี้ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว จากข้อเท็จจริงเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ โจทก์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเสร็จไปก่อนเกิดความไม่สงบที่กระทรวงมหาดไทย ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะสร้างสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีก และไม่สมเหตุผลที่โจทก์จะต้องสร้างสถานการณ์ไม่สงบให้เกิดขึ้น เพราะอาจทำให้มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของรัฐบาลโจทก์ เมื่อพิจารณาภาพเหตุการณ์ประกอบหนังสือพิมพ์ปรากฏว่าวันดังกล่าวมีกลุ่มคนสวมเสื้อแดงรุมทุบทำลายรถ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ หากรัฐบาลโจทก์จัดฉากก็น่าจะนำนายนิพนธ์ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาลออกไปพร้อมโจทก์ด้วย ไม่น่าจะจัดฉากสร้างสถานการณ์ ข้ออ้างไม่มีน้ำหนัก
 
    ส่วนนายจตุพร จำเลยในฐานะแกนนำมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับโจทก์อย่างรุนแรง ก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดและวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้านก่อนที่จะมีการกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะการปราศรัยของจำเลยในฐานะแกนนำดังกล่าวย่อมเป็นข่าวออกไปและส่งผลกระทบต่อโจทก์ รวมทั้งสังคมอย่างกว้างขวาง หรือถ้าหากจำเลยต้องการที่จะกล่าวปราศรัยถึงเหตุการณ์ความไม่สงบที่กระทรวงมหาดไทยจำเลยก็อาจกล่าวอ้างว่าได้ข้อมูลมาอย่างไร การกล่าวลักษณะไม่ยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลของโจทก์เป็นผู้จัดฉากสร้างสถานการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงทุบรถของโจทก์ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง โดยจำเลยก็ไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะยืนยันว่ารัฐบาลของโจทก์จัดฉากสร้างสถานการณ์ขึ้นโดยโจทก์ไม่ได้อยู่ในรถคันเกิดเหตุที่กระทรวงมหาดไทย จึงเป็นกรณีเลือกเชื่อที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงเฉพาะส่วนนี้มาใส่ความโจทก์เพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการเชื่อโดยสุจริต ดังนั้นการกล่าวปราศรัยของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเอง หรือมีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 วรรคหนึ่ง
 
    เมื่อฟังได้ว่าไม่ได้แสดงความเห็นโดยสุจริตแล้ว การกระทำย่อมไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามโจทก์ฟ้อง ที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
 
    ศาลฎีกา จึงพิพากษากลับว่านายจตุพร จำเลย กระทำความผิดตาม ม.328 ให้จำคุก 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาลงใน นสพ.ไทยโพสต์ , เดลินิวส์ , มติชน ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน โดยให้จำเลยชำระค่าโฆษณาด้วย
 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากฟังคำพิพากษาฎีกาแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายจตุพร ประธานปช. ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันทีในเวลา 11.00 น.เศษ เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาฎีกาที่ถึงที่สุดแล้วต่อไป ซึ่งนายจตุพร ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม ระหว่างถูกควบคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำ
 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายอภิสิทธิ์ อดีตนายกฯ และนายจตุพร ประธาน นปช. มีคดีฟ้องหมิ่นประมาทฯต่อกันอีก 3 สำนวน ซึ่งศาลมีคำพิพากษาแล้ว
 
    ประกอบด้วย 1.คดี อ.4176/2552 ที่นาย ยื่นฟ้อง นายจตุพร กรณีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.52 ได้ขึ้นปราศรัยเวที นปช. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินและได้กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ โจทก์ทำนองว่าประวิงเวลาในการทำความเห็นเพื่อเสนอสำนักราชเลขาธิการ พิจารณาผู้ที่ร่วมลงรายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.52 จำเลยยังได้ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่ม นปช.ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่กล่าวหานายอภิสิทธิ์ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ทำนองว่าเป็นอาชญากรและฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน โดยได้มีการเผยแพร่คำปราศรัยผ่านสถานีโทรทัศน์พีเพิล แชลแนล โดยชั้นพิจารณานายจตุพร จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ซึ่งศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นให้จำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าแม้ทั้งคู่ต่างเป็นนักการเมืองที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์กันได้ตามระบอบประชาธิปไตยแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงและเป็นการติชมเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้นเจริญขึ้นและเกิดความสงบเรียบร้อย แต่การกระทำของจำเลยก็ไม่ใช่การติชมเป็นธรรมเพื่อให้บ้านเมืองเจริญขึ้น ซึ่งคดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการฎีกา
 
    2.คดีหมายเลขดำ อ.404/2552 ที่นายอภิสิทธิ์  ยื่นฟ้องนายจตุพร จากกรณีเมื่อวันที่ 13 ม.ค.52 ได้แถลง ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นำภาพโจทก์ขณะนั่งเก้าอี้ถวายข้อราชการ ซึ่งมีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ว่าไม่ถวายความเคารพต่อองค์พระมหากษัตริย์ในขณะเข้าเฝ้าฯ ตามที่ประชาชนพึงปฏิบัติ และทำตัวตีเสมอ ซึ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เห็นว่าไม่ใช่การติชมด้วยความเป็นธรรมทำให้เข้าใจว่าไม่แสดงความเคารพเบื้องสูง โดยศาลฎีกาให้จำคุก 6 เดือนและปรับ 50,000 บาทแต่โทษจำคุกนั้นให้รอลงอาญาไว้  2 ปี และให้ลงคำพิพากษาย่อใน นสพ.มติชนและผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน
 
    3.คดีหมายเลขดำ อ.1008/2553 ที่นายอภิสิทธิ์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร กรณีระหว่างวันที่ 29 ม.ค. - 15 ก.พ.53 ต่อเนื่องกัน ได้กล่าวปราศรัยต่อหน้าประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดงและที่รับชมโทรทัศน์ช่องพีเพิล แชนแนล พาดพิงว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งฆ่าประชาชนและหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และข้อความอื่นๆ ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งนายจตุพร จำเลย ก็ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีเช่นกัน โดยคดีถึงที่สุดแล้วเช่นกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาเห็นว่า คำปราศรัยดังกล่าวเกินเลยจากความเป็นจริง ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนให้จำคุก 6 เดือนและปรับ 50,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันเป็นเวลา 7 วันโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย  
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ