ข่าว

คำต่อคำ"ศิริชัย"เคลียร์ปมลาออก!!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 "ศิริชัย”ปธ.ศาลอุทธรณ์ เคลียร์ปมลาออก เจอมรสุมชวดขึ้นปธ.ศาลฎีกา-ถูกตั้ง กก.สอบ

           “ศิริชัย” ประธานศาลอุทธรณ์ เคลียร์ปมตัดใจลาออก แจงยิบขั้นตอนโอนสำนวนคดีเชื่อไม่ผิดระเบียบ พ้อตั้งใจทำคดีแต่ถูกมองไม่เหมาะสม ฝากถึง คสช. อย่าปล่อยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นย้าย ขรก. อิงหลักอาวุโส ขณะที่ผู้พิพากษา-ข้าราชการลูกจ้าง มอบกุหลาบชมพูให้กำลังใจ เจ้าตัวไหว้ศาลพระภูมิก่อนลาศาล

           ที่ห้องประชุมใหญ่ชั้น 7 ศาลอุทธรณ์ ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 18 ก.ค.60 เวลา 14.00 น. นายศิริชัย วัฒนโยธิน ประธานศาลอุทธรณ์ ได้แถลงเปิดใจครั้งที่ 3 กล่าวว่าวันนี้เป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ทุกคนคงทราบว่าตนแถลงการณ์ขอลาออก ซึ่งตนได้ยื่นใบลาออกแก่ ก.ต.ตั้งแต่เมื่อวานก่อนการประชุม ก.ต. โดยการลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.หลังจากที่ ประธานศาลฎีกาเซ็นอนุญาตแล้ว ส่วนมติ อนุ ก.ต. และ ก.ต.ทุกวันนี้ตนยังไม่ได้คำสั่งเลย ยังไม่รู้ว่าพยานของอนุ ก.ต.และ ก.ต.ให้ความเห็นว่าอย่างไร ตอนที่ตนเคยเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงใน ก.ต. ตนให้โอกาสทุกคนในการชี้แจง

คำต่อคำ"ศิริชัย"เคลียร์ปมลาออก!!

          ถามว่าเสียใจหรือไม่ตนทำใจได้ แต่พ่อ-แม่เมื่อทราบข่าวก็ความดันขึ้นตลอด พ่ออายุ 90 ปี ส่วนแม่อายุ 85 ปี พ่อ-แม่ก็ยังบ่นว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ ญาติบางคนที่ทราบก็ร้องไห้เสียใจ แต่ตนทำใจได้ ส่วนผู้พิพากษาระดับผู้น้อยก็มีมาให้กำลังใจตน

           ขณะที่การนำพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนปฏิบัตินั้นถูกต้องหรือไม่ ตนได้ชี้แจงไปหมดแล้วและยังได้แจงเอกสารข้อมูลและแผ่นซีดี ส่วนพยานบุคคลในเรื่องการโอนสำนวนก็มีพยานหลักฐานชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่จำเป็นต้องมีพยานบุคคลที่จะมาบอกว่าเชื่อหรือไม่ ตรงนี้ก็มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าที่สั่งแบบนี้เพราะอะไร และจำเลยก็ยอมรับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้ขออนุญาตฎีกาต่อสู้คดีต่อ

          เมื่อถามว่าหลังจากนี้ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่นำพยานหลักฐานเข้าต่อสู้ให้พ้นมลทินหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ที่จริงแล้วไม่ต้องมีอะไร เพราะดูแค่จากเอกสารก็ทราบแล้ว ไม่ใช่เรื่องการไปรับเงิน เพียงแค่ประเด็นว่าที่ตนสั่งสำนวนผิดหรือไม่ เป็นกฎหมายที่ระบุไว้หรือไม่

 

คำต่อคำ"ศิริชัย"เคลียร์ปมลาออก!!

          เมื่อถามว่า ในที่ประชุม อนุ ก.ต. มีการนำเรื่องส่วนตัวมาพูดเป็นเรื่องอะไร นายศิริชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัวที่ได้ข่าวว่าจะมีการนำมาพูด แต่พอมาประชุมก็ไม่ได้มีการนำมาพูด

           “ลูกศิษย์ผมบอกว่าอาจารย์ถูกโกง ผมไม่มีที่ยืน ผมก็ตัดสินถูกต้องดูความเป็นจริงด้วยก็ในเมื่อเขาเป็นคนกระทำความผิดแล้วคดีเขาก็ลงโทษ เขียนดีแล้วลงโทษได้ แล้วจำเลยก็ยอมรับ แล้วเสียหายราชการตรงไหน แต่ขณะเดียวกันถ้าผมปล่อยจะเสียหายมากกว่าไหม ถ้ากลับไปค้ายาเสพติดอีก แล้วเราจะเอาอย่างไร ทุกอย่างต้องดูเจตนา ผมทำเพื่อสังคม”

           เมื่อถามว่า เรื่องนี้มีประเด็นการเมืองภายในศาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าการเมืองในศาลคืออะไร ส่วนข่าวลือที่ออกมาเป็นปีว่าตนจะไม่ได้ขึ้นประธานศาลฎีกา ขนาดนักข่าวได้ยิน ผมก็ได้ยิน ส่วนควรจะมีการปฏิรูปศาลหรือไม่ ตนมองว่าระบบ ก.ต.ก็ต้องเปลี่ยน การเลือกตั้งบางทีก็นำมาใช้ใน ก.ต.ไม่ได้ เพราะมีหัวคะแนนกลุ่มผู้พิพากษานิยม และ ก.ต.จะต้องไม่มีสิทธิ์เด็ดขาดจะต้องมีหน่วยงานที่กลั่นกรองมติ ก.ต.อีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้ตนไม่แน่ใจแล้วการพิจารณาของ ก.ต.ยังควรเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงขององค์กรอื่นหรือไม่ กลัวว่าบางระบบมันจะกลับมาอีก เมื่อ ก.ต.รวมกันได้หมดทุกอย่างแล้วก็จะผูกขาด ซึ่ง ก.ต.เขาห้ามหาเสียงแต่ถ้าไม่หาเสียงก็ไม่มีใครได้แล้วระบบหาเสียงก็ต้องมีระบบหัวคะแนนแล้วควรจะให้มีไหม และก็มีการสลับกันเป็น ก.ต. และ ก.บ.ศ. ส่วน ก.ต.คนนอกก็นั่งทำงานกับก.ต.ในระบบ รู้จักกันสนิทกันไปไหนมาไหนด้วยกัน

คำต่อคำ"ศิริชัย"เคลียร์ปมลาออก!!

          เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยได้รับเลือกเป็น ก.ต. ตอนนี้กลับไม่มั่นใจใน ก.ต.ที่ระบบให้ผู้พิพากษาทั่วประเทศเป็นคนเลือกใช่หรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ตอนเป็น ก.ต. ไม่เคยทำอะไรที่ไปทำร้ายคนหรือทำอะไรที่ไม่ถูก คนไหนที่ทำดีก็ต้องได้ดี ตรงไปตรงมา ซึ่งตนจะถูกกลั่นแกล้งใช่หรือไม่ ตนไม่ใช่คนตัดสินที่จะบอกได้ว่าถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ถูกกลั่นแกล้ง

           เมื่อถามว่า หลังจากนี้ ถ้ากรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องโอนสำนวนเรียกไปสอบ มีความพร้อมหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า พร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราพร้อมแล้วผลจะออกมาอย่างไรก็เท่านั้นเอง ตนก็เอาข้อเท็จจริงมาให้ดูว่าทุจริตหรือไม่

           ส่วนการตั้ง ตำแหน่งที่ปรึกษาประธานศาลฎีกานั้นตนเห็นว่า เป็นตำแหน่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งตำแหน่งสูงๆรองจากประธานศาลฎีกา อย่างประธานศาลอุทธรณ์ แม้จะระบุว่า เทียบกันแล้วมีตำแหน่งเท่ากัน แต่ศักดิ์ศรีจริงๆไม่เท่ากันเนื่องจากประธานศาลอุทธรณ์เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมโดยตำแหน่ง แต่ตำแหน่งที่ปรึกษาเป็นตำแหน่งลอยที่ตั้งขึ้นมาเป็นครั้งแรก ถ้ามีการไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาก็จะมีปัญหาตอนประธานศาลฎีกาไม่อยู่ใครจะรักษาการแทนเพราะรองประธานศาลฎีกาคนที่ 1 ก็อยู่ ตามกฎหมายที่ระบุไว้ว่ารองประธานศาลฎีกาคนที่ 1 จะรักษาการณ์แทนก็จะมีปัญหาว่าใครจะรักษาการณ์แทนระหว่างที่ปรึกษาประธานศาลฎีกา กับรองคนที่1 แม้กฎหมายจะให้ตำแหน่งเทียบได้นั้นหมายถึงแค่ตำแหน่งเล็ก ผมเห็นว่าปัญหาเกิดขึ้นก็เป็นจุดหนึ่งที่ไม่ควรดำรงตำแหน่งอีกต่อไป อีกประการหนึ่ง ในนิติประเพณีผุ้ที่ประธานศาลอุทธรณ์สูงสุดควรเป็นประธานศาลฎีกา แต่ถ้ามีปัญหาไม่ได้ขึ้นก็ยังได้รับเกียรติให้อยู่ตำแหน่งเดิม ไม่เคยมีการโยกย้ายไปสร้างตำแหน่งใหม่เหมือนปัจจุบัน

 

คำต่อคำ"ศิริชัย"เคลียร์ปมลาออก!!

           “การเป็นผู้พิพากษาเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี จะให้ผมไปเป็นที่ปรึกษาประธานศาลฎีกาเพียงคนเดียว ซึ่งมีข้อโต้แย้งว่าไม่น่าที่จะทำได้ แล้วยังตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกับผมอีก ผมถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว ถอยจนไม่มีที่ยืนก็ต้องลาออกจากระบบด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่คิดว่าชีวิตราชการที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตขยันขันแข็งทำงาน ดูพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์เป็นตัวอย่าง น้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติหน้าที่ เมื่ออยู่ศาลอุทธรณ์ก็ทำให้จากศาลอันดับสุดท้ายขึ้นมาเป็นศาลดีเด่นได้ แต่ผมต้องถูกอนุ ก.ต. และ ก.ต. บอกว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นประธานศาลฎีกา” นายศิริชัยกล่าว

          นายศิริชัย กล่าวต่ออีกว่า เมื่ออนุ ก.ต.นัดพิจารณาได้หยิบบัตรสนเท่ห์ขึ้นมา แล้วเรียกพยานที่ต้องการจะเรียกไปสอบ ซึ่งบัตรสนเท่ห์อันนี้ก็เคยมีมาก่อนและสำนักงานศาลยุติธรรมเคยให้ตนชี้แจงก็ชี้แจงไปแล้ว ท่านประธานก็ระงับเรื่องไปเพราะไม่มีรายละเอียดอะไรเลย แต่อนุ ก.ต.กลับหยิบขึ้นมาเอง เรียกพยานมาสอบเอง และเรียกตนไปสอบคำให้การ ตนชี้แจงไปก็คิดว่ามันควรจะจบแล้ว ปรากฏว่าเรียกพยานมาใหม่อีกเมื่อตนชี้แจงได้ ทุกพยานเป็นฝ่ายที่ไม่ชอบตนหรือมีเหตุที่เข้าใจว่าตนแกล้งเขา เมื่อตนชี้แจงไปอีกเข้าใจว่าชี้แจงได้ทุกขั้นตอนก็จะเปลี่ยนเรื่องมาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใกล้วันประชุม ก.ต.แล้ว ประธานที่ประชุมก็บอกไม่เปลี่ยนแล้วเอาแค่นี้

          “ผมยังไม่เคยเห็นคำให้การของพยานสักปากเลยที่อนุ ก.ต.เรียกมา ผมไม่รู้ว่าใครให้การอย่างไรบ้าง มันมืดสนิท ผมก็ทำเรื่องเสนอขอความเมตตาไปที่คณะกรรมการตุลาการเพื่อให้เลื่อนการพิจารณาไปก่อน และขอคัดคำให้การพยานในชั้นอนุกรรมการเพื่อที่จะได้ต่อสู้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการสอบวินัย การดำเนินคดีอาญาก็ต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสเห็นและมีโอกาสต่อสู้ แต่นี่ผมไม่มีเลย วันจันทร์ที่3ก.ต.ก็ลงมติว่าผมไม่เหมาะสมที่จะเป็นประธานศาลฎีกา”

          นายศิริชัย กล่าวอีกว่าในการพิจารณาของอนุ ก.ต. ได้นำสำนวน3คดีมาสอบถามตน คดีแรกเกิดขึ้นในสมัยประธานศาลอุทธรณ์คนก่อน มีการฟ้องว่าจำเลยร่วมกับพวกมียาเสพติดให้โทษจำนวนมากไว้ในครอบครอง 3 คดีนี้ศาลชั้นต้นประหารชีวิตและลดโทษหนึ่งในสามให้จำคุกตลอดชีวิต ก็มีการทักท้วงมีประธานแผนกอาวุโสท่านหนึ่ง รองประธานยาเสพติด ท่านผู้ช่วยเล็ก คือระบบการทำงานของศาลเมื่อเจ้าของสำนวนเขียนคำพิพากษาเสร็จแล้วก็จะส่งให้ผู้ช่วยเล็กตรวจ ถ้าผู้ช่วยเล็กเห็นด้วยกับร่างคำพิพากษาก็จะส่งผู้ช่วยใหญ่ ถ้าผู้ช่วยใหญ่เห็นด้วยก็จะส่งรองประธานแผนกคดียาเสพติด ถ้าอุกฉกรรจ์มากก็จะให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย คดีนี้ผู้ช่วยเล็กตรวจแล้วไม่ขัดข้องเห็นว่าร่างผ่านได้ ออกไปอ่านได้ แต่รองประธานแผนกคดียาเสพติดก็ท้วง แล้วก็มีการให้ผู้พิพากษาอาวุโสสองคนตรวจ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงถึงข้อเท็จจริงในการโต้แย้งข้อกล่าวหาในชั้นอนุ ก.ต.เรื่องการโอนสำนวนคดียาเสพติดนั้น นายศิริชัยได้เตรียมเอกสารสรุปข้อเท็จจริงสำนวนคดีรวม 3 คดี มาชี้แจงรายละเอียดต่อสื่อมวลชนโดยนายศิริชัยยืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งธงการพิพากษาคดีแล้วให้มีการดอนสำนวนไปยังคณะต่างๆไปตรงกับธงที่ตั้งไว้

          “การที่มีคนกล่าวว่าตนต้องการให้ผลมีการลงโทษจำเลย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นขั้นตอนที่ว่าประธานศาลอุทธรณ์คนเดียวไม่ได้มีอำนาจที่จะทำอะไรได้ ถ้ารองประธานคนที่1เห็นไม่กระทบกระเทือนความยุติธรรมก็ต้องทำออกไปตามนั้น ไม่สามารถที่จะไปทำอย่างอื่นได้ แล้วผู้พิพากษามีเกียรติมีศักดิ์ศรี เราจะไปบอกท่านให้เขียนอย่างนั้นอย่างนี้ทำไม่ได้ การที่คดีจะโอนสำนวนได้ต้องให้รองประธานศาลอุทธรณ์คนที่1บอกว่ากระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมเท่านั้น ประธานศาลอุทธรณ์คนเดียวไม่มีสิทธิ”

          นายศิริชัยกล่าวต่อว่า การที่ตนลงโทษทั้ง3คดีเรื่องเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่ได้เป็นประธานศาลฎีกา ตนลงโทษพวกค้ายาเสพติดกลับถูกตำหนิว่าไม่เหมาะสมจะเป็นประธานศาลฎีกา ตนก็เงียบไม่ว่าอะไร ยอมกลืนเลือดตัวเอง ยอมรับได้ ตนทำงานจนศาลอุทธรณ์ได้เป็นศาลดีเด่น ขณะที่การไต่สวนของ อนุ ก.ต. ก็หยิบเอาร่างคำพิพากษาที่ยังไม่ได้มีการลงลายมือชื่อไปดู ซึ่งร่างดังกล่าว เป็นเอกสารลับเอาออกไปได้ยังไงก็ไม่ทราบเมื่อสามปีที่แล้วตนเป็น ก.ต.อยู่ ได้เคยพิจารณาลงโทษข้าราชการตุลาการชั้นผู้ใหญ่หลายคนออกไป ซึ่งพัวพันเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย เพราะเราไม่ต้องการที่จะให้มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากคดียาเสพติด สิ่งที่ตนอยากฝากให้ผู้บริหารบ้านเมืองด้วยว่าคดียาเสพติดควรมีพิจารณาให้ครบ3ชั้นศาล เพราะปกติคำพิพากษายาเสพติดจะถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ถ้าหากจะฎีกาจะต้องขออนุญาตแต่ระหว่างนั้นไม่สามารถขังระหว่างฎีกาได้ กลายเป็นว่าถ้าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วปล่อยจำเลยไปจำเลยจะหนีหมด

          เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องการตีความในเรื่องแนวทางปฏิบัติของผู้พิพากษาที่ท่านคิดเองว่าถูก แต่ ก.ต.มองว่าไม่ถูกต้อง นายศิริชัย กล่าวว่า ไม่มี ผมยืนยันว่าไม่มีกฎหมาย ไม่มีแนวทางระบุ ผู้พิพากษาอาวุโสบางคนก็เคยมีความเห็นว่าควรระบุแนวทางให้แน่นอน แต่ผมเห็นว่าไม่สามารถกระทำได้ เป็นไปได้อย่างไร

           เมื่อถามว่า การโอนสำนวนที่ถูก ก.ต.สอบข้อเท็จจริงนั้น มีการโอนสำนวนให้ผู้พิพากษา 3 คนใช่หรือไม่

           นายศิริชัย กล่าวยืนยันว่าไม่มี ที่มักจะมีการพูดว่าตนโอนสำนวนหลายๆ ทอด ก็มีการโอนแล้วเขาไม่ทำคดี ไม่เขียนคำพิพากษาซึ่งมันก็ออกคำพิพากษาไม่ได้ แล้วเขามาคืนสำนวนตนก็ต้องจ่ายคนอื่น ซึ่งก็มีคำสั่งเก่า เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องกระทบต่อความยุติธรรม ก็เลยโอนสำนวน เมื่อไม่มีคนเขียนคำพิพากษา ก็ต้องสั่งจ่ายสำนวนจนกว่าจะมีคนเขียน ถ้าเขาเขียนเหมือนเดิมตนก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะว่าก็ไม่ใช่ญาติโกโหติกา ส่วนผู้พิพากษาสามารถปฏิเสธไม่รับสำนวนคดีได้หรือไม่นั้นบางครั้งมีส่วนได้เสียในคดีก็มีเหตุให้สามารถทำได้แต่บางครั้งอย่าลืมว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็เป็นเพื่อนกันบางทีสำนวนเป็นของเพื่อนก็ไม่อยากทำก็ได้ หรืออาจจะเห็นว่าเหมือนกับคำพิพากษาเดิม แต่การโอนสำนวนคดีนั้นไม่มีเหตุตั้งข้อรังเกียจผู้พิพากษา โดยจะเป็นระเบียบเพียงว่า ถ้ารองประธานศาลอุทธรณ์คนที่ 1 เห็นว่ามีผลกระทบต่อความยุติธรรม ตนในฐานะประธานศาลอุทธรณ์ก็โอนให้ผู้พิพากษาคณะคนที่สองแล้วถ้าคณะนั้นบอกว่าไม่สะดวกใจจะเขียนคำพิพากษาเรื่องนี้ เมื่อเขาคืนสำนวนมา ตนก็เลยโอนสำนวนให้คนอื่น การจ่ายสำนวนเมื่อจ่ายไปแล้วจะเป็นเรื่องระบบ จะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนทุกเรื่องเหมือนกันหมด

           ทั้งนี้ นายศิริชัย ยังกล่าวถึงเรื่องที่ไม่ได้เห็นชอบขึ้นประธานศาลฎีกาอีกด้วยว่า เคยคิดจะทูลเกล้าถวายฎีกา แต่ก็กลัวว่าจะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งก็มีผู้พิพากษาเคยมามาสอบถามว่าเหตุการณ์มันเป็นอย่างไรก็เล่าให้ฟังเช่นนี้

           “ท่านหนึ่งก็บอกว่าอาจารย์ถูกปล้น ปล้นกลางวันแสกๆ เพราะขณะนี้มันอยู่ในยุค คสช. ยังกล้าทำอย่างนี้ ไม่ธรรมดาการปล้นครั้งนี้ยังมีการทำร้ายหัวหน้าด้วย ก็คิดดูว่าหัวหน้า คสช. พูดถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่เหมือนศาล ไม่เหมือนอัยการต้องเป็นไปตามอาวุโส พอท่านพูดไม่นานเท่าไหร่ ก.ต.ก็ลงมติเลยไม่เอาตามอาวุโส นอกจากนี้ยังถูกตั้งกรรมการสอบฯ ผมก็หมดหนทาง ก็ฝากถึงหัวหน้า คสช.ว่าอย่าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ ผู้พิพากษาก็ระส่ำระสายไม่รู้ว่าจะเป็นระบบอาวุโสรึเปล่า จะมีอะไรอีกหรือไม่ ผู้พิพากษาทั่วประเทศจับตามองอยู่ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมและประชาชนช่วยดูนิดนึงว่าผมเลวร้ายขนาดไหนถึงถูกทำขนาดนี้ คืออยากจะให้ท่านเห็นว่านี่คือสิ่งที่ผมได้รับ และควรจะลาออกไหม” นายศิริชัยกล่าว

           เมื่อถามว่า ในส่วนตัวคิดว่าตำแหน่งที่ปรึกษาที่ตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกบีบให้ลาออกใช่หรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า “ผมก็ไม่แน่ใจคือหลังจากที่ประชุม ก.ต.เสร็จก็มีการให้ผู้ใหญ่มาพบว่าให้ผมเลือกเอาสองอย่างว่าเป็น พ.อาวุโสที่ศาลอุทธรณ์ หรือที่ปรึกษา ผมก็รู้สึกผิดปกติว่าพอเราไม่ได้เราควรอยู่ที่เดิม ผมก็เล่าข้อเท็จจริงให้ฟังหมดต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ พระพุทธรูป ท่านก็ช่วยกันคิดต่อ”

          ส่วนจะใช้สิทธิฟ้องกลับหรือไม่และจะทำอะไรต่อไป นายศิริชัย กล่าวว่า ตอนนี้เวลายังมีอยู่ ยังต้องดูก่อน ยังตอบไม่ได้ ยังไม่ได้คิดว่าจะฟ้องร้องอะไร ตนก็ฟ้องกับประชาชนกับสื่อมวลชน กับหัวหน้า คสช.กับทุกคนให้เห็น เพราะว่าถ้าเราไม่รักษาระบบไว้มันก็จะแย่ ขวัญและกำลังใจคนก็จะไม่มี ส่วนชีวิตหลังจากนี้ตนยังไม่ได้คิดอะไรนอกจากถึงเวลาที่จะพักผ่อน

          เมื่อถามว่า มีการวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้ขึ้นประธานศาลฎีกาหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า มีพูดมาตลอดกับเรื่องที่ตนมาบริหารงาน สั่งปิดน้ำปิดไฟ ก็มีมาเรื่อยๆ แต่พอได้ศาลดีเด่นเรื่องนี้ก็หายไป เพราะหากมีการปิดน้ำปิดไฟไม่ให้ทำงานคดีจะเสร็จได้อย่างไร ตนต้องตรากตรำทำงานตั้งแต่เช้า กลางคืนไม่ได้กลับนอนที่ศาลอุทธรณ์เพื่อให้งานเสร็จ ทำคดีปลายปี 2559 และปีนี้ปี 2560 ก็แทบไม่เหลือคดีคั่งค้างในศาลอุทธรณ์ ก็อดทนทำมาตลอด

          เมื่อถามว่า ที่กล่าวถึง คสช.แล้วหลังจากนี้จะยื่นข้อมูลอะไรให้ หัวหน้า คสช.หรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า จะไม่ยื่นอะไร ก็จะลาออกแล้วกลับไปนอนหลับให้สบาย เลิกนอนสะดุ้งสักที

           เมื่อถามว่า หากหัวหน้าคสช.ใช้ มาตรา 44 เกี่ยวกับศาลยุติธรรม อยากเห็นออกมารูปแบบใด นายศิริชัย กล่าวว่าก็แล้วแต่ดุลยพินิจ อาจจะถามมติของศาลทั่วประเทศหรือไม่ก็ได้ว่าเห็นชอบกับเรื่องแบบนี้ใช่ไหม

           เมื่อถามว่าท่านคิดจะนำเรื่องให้ หัวหน้า คสช. ดำเนินการอย่างไรในเมื่อการพิจารณาของ ก.ต .ถือเป็นอิสระนายศิริชัย กล่าวว่า มาตรา 44 อยู่สูงกว่า และก็ลองสอบถามผู้พิพากษาทั่วประเทศว่าเห็นชอบกับการกระทำแบบนี้หรือไม่ ทำจนผมไม่มีที่ยืนต้องไป ส่วนหนึ่งที่ผมคิดก็คือ ขนาดผมยังไม่ได้รับความยุติธรรมแล้วผมจะให้ความเป็นธรรมอย่างไรได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตนได้เล่าเปิดใจให้ฟังแล้วถึงต้องไป

           เมื่อถามว่าที่พูดถึงหัวหน้าคสช.หมายถึงจะต้องมีการปฏิรูปศาลด้วยใช่หรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า จริงๆ ตอนนี้มีปัญหาว่า มติของ ก.ต.ไม่มีคนทบทวน อย่างเมื่อวานนี้ ( 17 ก.ค.) ก็ได้ข่าวการพิจารณาวินัยลงโทษผู้พิพากษาที่กระทำความผิดที่สอบวินัยแล้วมติออกมา 7 เสียงเท่ากัน แต่ผมกลับโดน 14 ต่อ 0 เสียง คือผมทำอะไรแย่ขาดนี้ ก็ให้คิดดูว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

          เมื่อถามว่า มีคนมองว่าท่านมีความใกล้ชิดกับนปช. มีผลต่อการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานศาลฎีกาใช่หรือไม่นายศิริชัย กล่าวว่า นปช.คือใครในชีวิตผมทำงานในพระปรมาภิไธย ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ ไม่เคยคิดทำนอกคำที่ได้ถวายสัตย์ ถ้าแม้พ่อแม่ของตนเป็นจำเลยกระทำความผิดก็จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ตอนผมเด็กๆ อาจจะเกเรเล่นการพนันแต่พอโตขึ้นมาตนเลิก เพราะเดี๋ยวจำเลยจะมาชี้หน้าได้ซึ่งตนจะไม่ทำตัวให้คนเขาว่าได้

          ส่วนจะมีการวิ่งเต้นในวงการตุลาการไทยหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าทุกวงการมีคนแบบนี้ ตอนที่ตนเป็น ก.ต.ผมก็เป็นหัวหอกในการพิจารณาลงโทษ

           ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังนายศิริชัย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ในการแถลงชี้แจงรายละเอียดและความรู้สึก กับการตอบคำถามสื่อมวลชนแล้ว ก็มีผู้พิพากษาและข้าราชการกับลูกจ้างในศาลอุทธรณ์จำนวนหนึ่ง นำดอกกุหลาบสีชมพูมามอบให้กำลังใจนายศิริชัย พร้อมเปิดเพลงกำลังใจให้ด้วย ซึ่งวันนี้นายศิริชัยได้เคลียร์สิ่งของในห้องทำงาน ซึ่งพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ประธานศาลอุทธรณ์และผู้พิพากษาแล้ว โดยก่อนที่จะนั่งรถยนต์เพื่อเดินทางกลับออกไป นายศิริชัย ได้นำพวงมาลัย สักการะศาลพระภูมิสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณศาลอุทธรณ์ด้วย

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ