ข่าว

"หม่อมอุ๋ย" โวย กมธ. ลักไก่ยัดไส้ตั้ง "บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“หม่อมอุ๋ย” เผย 6 บิ๊กทหาร เบื้องหลังดัน ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ วอนสนช. ลงมติไม่รับร่างฯ หวั่น ถอยหลัง 50 ปี เตือนระวังเป็นแบบเวเนซุเอลา ปัด ออกหน้าแทนปตท.


 

 27 มี.ค. 2560 - เมื่อเวลา 13.30 น. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้แถลงข่าวพร้อมทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)  เพื่อคัดค้านการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOC) ก่อนที่สนช.จะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2 ฉบับ ที่มีการบรรจุเรื่องของการตั้ง NOC ไว้ในบทเฉพาะกาล ในวันที่ 30 มี.ค. 60 นี้ โดยระบุว่า เนื่องจากมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเกี่ยวกับการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเกิดขึ้น  ตนจึงเลือกวิธีการทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)   
 
                โดยม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เมื่อตนเองพ้นหน้าที่จากคณะรัฐบาลชุดปัจจุบันมาแล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเฝ้าติดตามเรื่อยมา เพราะหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงจะมีผลเสียต่อประเทศชาติเป็นอย่างมากชนิดที่ว่าจะแก้กลับไม่ได้ ซึ่งมีความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งจะเข้ามามีอำนาจเหนือแหล่งพลังงานและกิจการพลังงานของชาติ  เมื่อตอนต้นปี 2558 รัฐบาลในขณะนั้นเห็นว่า แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ขุดเจาะใช้อยู่ในปัจจุบันมีปริมาณลดน้อยลง จนอาจจะหมดไปในระยะเวลา 4-5 ปีจำเป็นต้องมีการสำรวจหาแหล่งใหม่ที่ยังมีก๊าซธรรมชาติเพียงพอที่จะเจาะนำขึ้นมาใช้ได้อีกนาน  กระทรวงพลังงานจึงได้ประกาศเชิญชวนให้บริษัทเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอในการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งใหม่ โดยจะให้สัมปทานในการขุดเจาะแก่ผู้ที่สำรวจพบและเสนอผลประโยชน์แก่รัฐสูงที่สุด แต่ปรากฏว่ามีผู้ออกมาคัดค้านไม่ควรให้สัมปทานแก่ผู้ที่สำรวจพบ และเสนอแนะใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต(Production Sharing Contract หรือ PSC) แทน เพราะเชื่อว่าระบบ PSC จะให้ประโยชน์แก่ประเทศมากกว่าระบบสัมปทาน การคัดค้านดังกล่าวทำให้นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนใจและหยุดการประกาศเชิญชวนให้สิทธิสัมปทานสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21ไว้ 
 
                ทั้งนี้ตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแลกระทรวงพลังงานจึงเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อขอทราบนโยบายว่าจะให้มีการสำรวจหาแหล่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมหรือไม่ คำตอบของนายกรัฐมนตรีก็คือ ยืนยันที่จะให้มีการสำรวจ และมอบให้ตนเองมาแก้ไขกฎหมาย (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม) เพื่อไม่ให้การสำรวจและการผลิตจำกัดอยู่เฉพาะระบบสัมปทาน ตนเองจึงได้มอบให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานร่างแก้ไขกฎหมายให้เปิดกว้าง โดยให้รวมถึงระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) และ ระบบจ้างสำรวจและผลิตด้วย และได้นำเสนอร่างดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2558  คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยเร่งพิจารณาให้เสร็จเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมแล้วส่งกลับมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  แต่ปรากฏว่า ไม่มีการนำเรื่องเสนอที่ประชุม ครม. และทราบว่าติดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งในที่สุดก็ยอมให้นำเรื่องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 สิงหาคม 2558 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อตราเป็นกฎหมายออกใช้เพื่อที่จะได้สามารถเริ่มการสำรวจก๊าซธรรมชาติได้ทันใช้
 
                ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  กล่าวต่อว่า  สิ่งที่น่าแปลกใจคือทันทีที่ ครม.มีมติดังกล่าว นายกฯ ได้บอกตนว่า ก่อนนำเสนอ สนช. ขอให้ตนชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพลังงานของสนช. ตนได้ปฏิบัติตามโดยเชิญคณะกรรมาธิการดังกล่าวมาสนทนากันที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ผู้ที่มาพบมีด้วยกัน 7 คน ปรากฏว่า เป็นอดีตนายทหารระดับสูงถึง 6 คน  เมื่อตนชี้แจงแล้วก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ขัดข้องที่จะเปิดทางเลือกในการสำรวจและการผลิตให้มีหลายวิธี แล้วเลือกจากวิธีที่ประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด แต่เห็นว่าพรบ.ฉบับนี้ยังขาดไปอีก 1 เรื่อง คือเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งทำให้ตนประหลาดใจเป็นอย่างมาก ซึ่งตนได้ชี้แจงกลับทันทีว่าจุดมุ่งหมายของการออกพ.ร.บ.ใหม่ฉบับนี้ก็เพื่อจะเปิดโอกาสให้มีการสำรวจก๊าซธรรมชาติโดยให้ครอบคลุมถึงวิธีการต่างๆให้มากขึ้นกว่าระบบสัมปทานแต่อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่เคยมีใครพูดถึงบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ทางกระทรวงพลังงานก็ไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ และเมื่อนายกฯมอบหมายให้ร่างกฎหมายก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ  แต่ตัวแทนคณะกรรมาธิการดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าควรเพิ่มเติมเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเข้าไปด้วย  ซึ่งตนได้แจ้งว่าคงจะเติมให้ไม่ได้เพราะไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล และจะขอเสนอร่างไปยังสนช. ตามที่ร่างไว้ 
 
                ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  กล่าวต่อว่า ตนไม่ทันได้เสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเนื่องจากพ้นตำแหน่ง เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2558 ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนใหม่ได้นำร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเสนอต่อ สนช. ตามเนื้อหาที่ร่างไว้เดิม ปรากฏว่าคณะกรรมาธิการการพลังงานได้เสนอร่าง พ.ร.บ. เพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งเพื่อจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ รัฐบาลจึงส่งร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา หากเห็นด้วยก็อาจรวมเป็นร่างเดียวกันได้  ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เชิญรองนายกฯที่คุมงานของกระทรวงพลังงานไปชี้แจง ซึ่งท่านได้ชี้แจงว่า ไม่เห็นด้วยและไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฏีกาจึงได้ปฏิเสธที่จะเพิ่มเติมเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเข้าไปในร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาล และส่งเรื่องกลับไปยังครม. ซึ่งได้มีมติให้ส่งร่างเดิมของรัฐบาลไปยัง สนช. เพื่อพิจารณาออกเป็นกฏหมายต่อไป 
 
                อย่างไรก็ตามร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว (ที่ไม่มีเรื่องบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ) ได้ผ่านการพิจารณาของ สนช. ในวาระหนึ่งและ สนช. ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาในวาระ 2  ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของสภานิติบัญญัติ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญได้เพิ่มเติมเรื่องใหม่ซึ่งเป็นการแก้ไขหลักการของ พ.ร.บ.โดยเติมมาตราเกี่ยวกับการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเข้าไปในร่าง ทั้งๆ ที่รัฐบาลผู้เสนอร่างไม่มีนโยบายที่จะทำ และไม่มีการระบุหลักการและเหตุผลที่จำเป็นต้องจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติแต่ประการใด การเพิ่มเติมเรื่องใหม่นี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งปรากฏว่า มีการขอเพิ่มเติมข้อความในเรื่องนี้กลับไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการถึงสองครั้ง และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันก็ได้กระทำการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยการโอนอ่อนผ่อนตามให้มีการเพิ่มมาตราในเรื่องใหม่ดังกล่าว ทั้งที่รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่จะทำ และแม้กระทั่งการศึกษาถึงผลได้ผลเสียตลอดจนความจำเป็นในการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ รัฐบาลก็ยังไม่เคยทำไว้  ซึ่งควรมีการทำอย่างเปิดเผย ครม.ไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดเลยที่จะต้องโอนอ่อนผ่อนตามคำขอที่ไม่ชอบมาพากลของคณะกรรมาธิการฯในเรื่องนี้ นอกเสียจากว่าจะเกรงใจใครบางคนหรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในครม.ด้วย
 
                ส่วนสาเหตุที่ไม่ควรมีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาตินั้น เนื่องจากตนได้เห็นเนื้อหาในเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งมีมาตราที่เพิ่มเติมใหม่คือ มาตรา 10/1ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดยพิจารณาจากผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ และพบข้อความในร่างที่มีผู้เตรียมการเพื่อเสนอจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ” และ “ในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงาน ให้กรมพลังงานทหารเป็นหน่วยงานที่บริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไปก่อน...” ซึ่งกังวลว่ากรมพลังงานทหารอาจไม่มีประสบการณ์เพียงพอที่จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ทั้งหมดได้
 
                ทั้งนี้ตนไม่ได้พูดแทนบริษัทน้ำมัน ตนพูดแทนคนไทย ว่าจะมียักษ์ตัวใหม่ขึ้นมา เพราะบรรษัทน้ำมันจะเป็นผู้ถือสิทธิ์ปิโตรเลียมทุกอย่าง ถ้าฝ่ายการเมืองซึ่งเริ่มแล้วโดยกรมพลังงานทหารเข้าควบคุมบรรษัทน้ำมันแห่งชาติได้ เวลาทำอะไรไม่ชอบมาพากลใครจะแก้ปัญหาได้ ตนเป็นห่วงว่า การที่บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศนั้น หากเกิดความเสียหายเกิดขึ้นเกรงว่าจะไม่สามารถหยุดได้ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็น เช่นที่ประเทศเวเนซุเอล่า ที่ประสบปัญหาจากการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ 
 
                นอกจากนี้ที่ผ่านมาปตท.ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจก็เปรียบเสมือนบรรษัทน้ำมันแห่งชาติอยู่แล้ว และดำเนินกิจการได้ดี หากมีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติใหม่เกิดขึ้นมาและใช้อำนาจที่มีกฎหมายรองรับ ดึงกรรมสิทธิ์ของพลังงานทุกชนิดมาอยู่ที่บรรษัทใหม่แห่งนี้ วิสาหกิจและกิจการของบริษัทพลังงานต่างๆ หลายแห่งจะดำเนินอยู่ต่อไปได้อย่างไร กิจการเหล่านี้เป็นกิจการขนาดใหญ่ หากต้องหยุดลง ปัญหาอาจลุกลามจนเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ 
 
                ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ตนขอร้องไปยังสนช.ทุกท่านที่จะเข้าประชุมในวันที่ 30 มีนานี้ อยากให้ลงมติรับร่างกฏหมายฉบับนี้โดยตัดตัดมาตรา 10/1 เรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติออกไป เพราะหากสนช.ลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ. ตามที่คณะกรรมการวิสามัญเสนอมาซึ่งรวมมาตรา 10/1เท่ากับว่าสนับสนุนให้เกิดบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลเสียต่อความเจริญของประเทศอย่างแน่นอน และจะส่งผลให้กลุ่มบุคคลที่ต้องการให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ สามารถเริ่มผลักดันด้วยการเริ่มเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าการศึกษาผลดีผลเสียก็คงจะเตรียมกันไว้แล้วในแนวทางที่ต้องการ เพราะหน่วยงานที่เห็นว่ายังไม่มีความพร้อมเพียงพอหรือมองเห็นถึงผลเสียก็คงจะไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะคัดค้านได้ และแม้แต่เรื่องที่รัฐบาลไม่เห็นด้วย กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ก็ยังผลักดันให้ออกมาเป็นกฎหมายจนได้ จึงเชื่อว่าต้องมีผู้มีอำนาจหนุนหลังอยู่อย่างแน่นอน  
 
                “เพื่อนของผมบอกผมว่า ถึงผมจะอ้อนวอนอย่างไรก็คงไม่สำเร็จเพราะในสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดปัจจุบันมีทหารอยู่มากกว่าครึ่ง ทหารก็คงจะลงมติตามที่กลุ่มทหารเสนอมา ผมตอบเขาไปว่าทหารทุกคนรักชาติไม่แพ้พวกเรา หากไม่มีใครชี้แจงให้เขาเห็นข้อดีข้อเสีย เขาก็จะลงมติตามที่บอกต่อกันมา แต่ถ้าเราชี้แจงให้เขาเห็นอย่างชัดเจนถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติ เขาก็จะคิดได้และเขาก็มีความเป็นตัวเองที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผมจึงขอวิงวอนมายังท่านสมาชิกสภานิติบัญญัติทุกท่านได้โปรดได้ดุลยพินิจในการรักษาผลประโยชน์ของชาติด้วยเถิด  ผมอยากเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลังกลับไปเหมือน 50 ปี ก่อน "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

    รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบ ร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมที่จะเข้าสู่ที่ประชุม สนช. ในวันที่ 30 มี.ค. นี้ มีส่วนที่กรรมาธิการจะเพิ่มเติมมาตรา 10/1 โดนระบุให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดยพิจารณาจากผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ 
 

-------------

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ