สนช. ถกหนักผ่านร่างพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า แต่สุดท้ายผ่านเอกฉันท์
ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธาน ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ...ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่มีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับรูปแบบและพฤติกรรมการประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเนื้อหาสำคัญคือ ให้มีคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า จำนวน 7 คน ที่ต้องมีผลงาน ประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญไม่น้อยกว่า 10 ปีในสาขานิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน อุตสาหกรรม การบริหารธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค ที่จะเป็นประโยชน์ในการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้า และยังกำหนดคุณสมบัติต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดๆในสถาบันหรือสมาคมซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของผู้ประกอบธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์หรือประโยชน์ร่วมกันทางการค้า โดยคณะกรรมการจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระ
สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีออกกฎกระทรวง ออกระเบียบ กำกับดูแลการประกอบธุรกิจและกำหนเดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นรูปธรรม พิจารณากำหนดโทษปรับทางการปกครอง เป็นต้น ที่สำคัญร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้มีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการการแช่งขันทางการค้าขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจและให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จากเดิมสังกัดกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน นอกจากนี้ยังมีการกำหนดในเรื่องการป้องกันการผูกขาดและการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทั้งการกำหนดราคา เงื่อนไขในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบธุรกิจ การแทรกแซง และห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจกระทำการรวมธุรกิจที่ก่อให้เกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญในตลาด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกในส่วนของสนช.ที่เป็นสายธุรกิจ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยในมาตรา 51 ที่เป็นเรื่องของการควบรวมธุรกิจ ที่คณะกรรมาธิการฯได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาจากเดิม ที่กำหนด มิให้ผู้ประกอบธุรกิจกระทำการรวมธุรกิจอันอาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญในตลาด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ซึ่งกมธ.ฯได้มีการเติมข้อความตอนท้ายว่า” เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ “ ซึ่งหมายความว่า การรวมธุรกิจที่ทำให้เกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขันทุกประเภทหากจะรวมธุรกิจจะต้องมีการขออนุญาตจากคณะกรรมการก่อน นอกจากนี้ยังเพิ่มข้อความใหม่อีกหลายวรรคที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมธุรกิจ
โดยสมาชิกที่มาจากสายธุรกิจ อาทิ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายอิสระ ว่องกุศลกิจ อดีตประธานหอการค้าไทย นางสุวรรณี สิริเวชชะพันธ์ กรรมการบริหาร บริษัท คอลเกต ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล อดีตเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เห็นว่า การควบรวมธุรกิจเป็นเรื่องปกติเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขั้น แต่กมธ.กลับมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักการจากร่างเดิมที่มาจากคณะรัฐมนตรี ที่เดิมนั้นได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบธุรกิจและคณะกรรมการประสานงานจนลงตัว แต่กมธ.กลับมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้การควบรวมธุรกิจที่อาจเกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขัน ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ และยกเลิกการแจ้งผลการรวมธุรกิจต่อคณะกรรมการภายใน 7 วัน นับแต่วันที่รวมธุรกิจออกไป ซึ่งการทำแบบนี้ก็เหมือนเป็นการผูกขาดไปในตัวเพราะคณะกรรมการจะเป็นผู้อนุญาตเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสียหายจากธุรกิจและหากการไปขออนุญาตซึ่งจะมีการแจ้งข้อมูลต่างๆทางธุรกิจ อาจทำให้ความลับทางการค้าเกิดการรั่วไหล ทำให้คู่แข่งทางการค้ามีการได้เปรียบเสียเปรียบทันทีส่งต่อความเสียหายต่อธุรกิจ หรือทำให้ราคาหุ้นเกิดการเปลี่ยนแปลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาตราดังกล่าวได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งสมาชิกยังคงยืนยันไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของกมธ.ฯทำให้นายพรเพชร ได้ขอพักการประชุมเพื่อให้กมธ.ไปดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้องกับการอภิปรายของสมาชิก ซึ่งหากไม่ทบทวนการที่จะผ่านมาตรานี้คงเป็นไปได้ยาก ซึ่งกมธ.ก็ยินยอมไปปรับปรุงมาตราดังกล่าวใหม่ โดยให้สมาชิกที่อภิปรายและกมธ.มาหารือและปรับแก้ไข ซึ่งภายหลังการหารือนอกรอบ นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ประธานกมธ.ฯ กล่าวว่า หลังจากการหารือ กมธ.ได้แก้ไขมาตา 51 เป็น 2 ส่วนคือ 1.ให้ผู้ประกอบการธุรกิจที่กระทำการรวมธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดการลดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญในตลาดใดตลาดหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ต้องแจ้งผลการรวมธุรกิจต่อคณะกรรมการภายใน 7 วันนับแต่วันที่รวมธุรกิจ และ2. ให้ผู้ประกอบการธุรกิจที่กระทำการรวมธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดการผูกขาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดใดตลาดหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ
ด้านนางพรนภา ไทยเจริญ อดีตคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ในฐานะ กมธ.ชี้แจงว่า กฎหมายการแข่งขันทางการค้าถือเป็นกฎหมายสากลที่ 133 ประเทศใช้บังคับโดยมีหลักการดูแลโครงสร้างและกำกับการควบรวมธุรกิจ เพื่อป้องกันการผูกขาดและลดการแข่งขัน อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้นที่จะต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ทั้งนี้ในมาตรา 51 ที่มีการปรับปรุงนั้นจะไม่รวมธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางหรือเอสเอ็มอี ที่จะไม่เข้าเกณฑ์หรืออยู่ในข่าย หรือธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีส่วนแบ่งการตลาด 30 % หรือมียอดขายต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ก็ไม่ต้องทำอะไรและไม่ต้องแจ้งผลการรวมธุรกิจ แต่ในกรณีธุรกิจขนาดใหญ่เมื่อรวมแล้วเกิดการผูกขาด มีอำนาจเหนือตลาดและส่งผลกระทบต่อตลาดต้องมีการขออนุญาตก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงาน หลังจากการปรับแก้ไขมาตรา 51 เรียบร้อยแล้วก็ไม่มีสมาชิกคนใดติดใจอีก จากนั้นก็ได้มีการพิจารณาเรียงลำดับรายมาตราจนเสร็จสิ้นครบ 89 มาตรา ที่ประชุมได้ลงมติในวาระ 2 และลงเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 200 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
-----
ข่าวที่เกี่ยวข้อง