ข่าว

เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลดโทษจำคุก “ หญิงเป็ด-จารุวรรณ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลดโทษจำคุก “ หญิงเป็ด-จารุวรรณ อดีต ผู้ว่า สตง. – อดีต ผอ.ทรัพายากรบุคคล ” เหลือ 1 ปี แต่ไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

 

          28 ก.พ. 60 - ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี วันนี้ ( 28 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดี 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 2054/2559 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายคัมภีร์ สมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่จัดให้มีการสัมมนา ที่ จ.น่าน วันที่ 31 ต.ค.46 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้น ได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานที่จัดขึ้นในวันเดียวกันแล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกัน 294,440 บาท ทำให้ สตง.เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์

          โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 58 ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ จากนั้นคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสน ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี

          ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว ประเด็นที่คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์สู้ประเด็นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า หลังจากคณะอนุกรรมการไต่สวน รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับข้อกล่าวหาและพิจารณาว่า มีมูลแล้ว คณะอนุกรรมการฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยที่ 1 ทราบ และแจ้งด้วยว่า ในการแก้ข้อกล่าวหาจำเลยอาจทำเป็นหนังสือหรือชี้แจงด้วยวาจาก็ได้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ได้ลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ประธานอนุกรรมการฯ ลงลายมือชื่อในคำสั่งเรียกพยานไว้ล่วงหน้านั้นเพื่อให้อนุกรรมการฯใช้ดุลพินิจไประบุชื่อพยานในภายหลัง โดยไม่ปรากฏว่ามีการมอบหมายจากคณะอนุกรรมการฯนั้น เห็นว่าอำนาจนั้นก็เป็นการใช้อำนาจที่จำเป็นต้องทำหนังสือหรือคำสั่ง เพื่อดำเนินการตามแนวทางการไต่สวน ซึ่งจะต้องลงนามโดยประธานอนุกรรมการฯจะต้องลงนามตามระเบียบ ป.ป.ช. ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน พ.ศ.2547 ข้อ 8 วรรคสอง แม้โจทก์จะไม่มีรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการฯที่เป็นพยานเอกสารมาแสดงสนับสนุนแต่ก็ไม่ได้เป็นข้อพิรุธที่บ่งชี้ว่าไม่มีการมอบหมายหรือกำหนดแนวทางการไต่สวนของอนุกรรมการฯ ดังนั้นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

          ส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ของจำเลยว่าเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ม.157 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาของศาลชั้นหรือไม่  ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า หลังจากคณะทำงานด้านการจัดสัมมนาที่มี นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าเห็นว่าการจัดโครงการสัมมนาที่จังหวัดน่านในช่วงเวลาเดียวกับการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานจะเป็นประโยชน์ตามหลักการทำงานเชิงบูรณการ แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 มีบันทึกจัดโครงการสัมมนาเสนอให้คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 พิจารณาอนุมัติ ซึ่งกำหนดสัมมนาดังกล่าวนั้นตรงกับวันถวายผ้าพระกฐิน ระหว่างวันที่ 30 ต.ค. - 1 พ.ย.46 ซึ่งการที่จะเข้าร่วมสัมมนาที่จัดขึ้นในวันเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กันจึงเป็นเรื่องผิดสังเกต และหลังจากที่โครงการสัมมนาได้รับการอนุมัติไม่นานก็มีรายงานว่ามีจำนวนข้าราชการที่สมัครใจไปร่วมพิธีซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเองนั้นมีจำนวนลดลง ทั้งที่การตรวจสอบจำนวนข้าราชการนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ย.46 โดยเมื่อทราบจำนวนข้าราชการที่สมัครใจไปร่วมพิธีแล้ว จำเลยทั้งสองกับผู้บริหาร สตง.ก็ดำเนินการให้ข้าราชการในโครงการสัมมนาทั้งหมดไปร่วมการถวายผ้าพระกฐินทันทีพร้อมกับปรับเปลี่ยน ลดระยะเวลาสัมมนาโดยไม่ปรากฏว่าเป็นประโยชน์ตามหลักการทำงานเชิงบูรณาการแต่อย่างใด

          ส่วนที่จำเลยทั้งสอง อ้างว่าการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาจาก โรงแรมซิตี้ ปาร์ค ไปเป็นสโมสรสันติภาพ 2 สืบเนื่องจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่การถวายผ้าพระกฐินเกิดความล่าช้า และเป็นการประหยัดการเดินทางและข้าราชการไม่ต้องกลับโรงแรมก่อน แต่จากการไต่ส่วนกับได้ความจากพนักงานโรงแรม พยานโจทก์ เจ้าหน้าที่ สตง.ยกเลิกการสัมมนาก่อนวันสัมมนาไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยโรงแรมยังไม่ได้จัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มจึงไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพียงแต่คิดเฉพาะค่าใช้จ่ายในการทำป้าย 300 บาท เท่านั้น แม้จะไม่ได้ความชัดว่า เจ้าหน้าที่ สตง. ที่สั่งยกเลิกเป็นใครแต่ก็ไม่ได้เป็นข้อสำคัญ เพราะเมื่อการเปลี่ยนแปลงสถานที่สัมมนาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ได้เตรียมการไว้ก่อนอีกทั้งยังได้ความจากเจ้าหน้าที่ผู้ร่วมสัมมนา 2 คนว่าหลังจากเสร็จพิธีถวายผ้าพระกฐินก็ได้เดินทางกลับโรงแรมจากนั้นจึงไปร่วมงานที่สโมสรสันติภาพ 2 จึงแสดงให้เห็นว่า การเดินทางกลับที่พักไม่ได้ใช้เวลามากทำให้ข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนัก ประกอบกับมี พยานคนกลาง เบิกความว่า การถวายผ้าพระกฐินล่าช้าก็เพราะรอวัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน และหลังพิธีถวายผ้าพระกฐินก็มีการทอดผ้ากฐินสามัคคีซึ่งเป็นเรื่องความสมัครใจและความศรัทธาของข้าราชการ ไม่ได้เป็นเรื่องของทางราชการแต่กลับมีการเปลี่ยนกำหนดการสัมมนาเพื่อให้การทอดผ้ากฐินสามัคคีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงเป็นลักษณะการจัดสัมมนาเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอื่นให้ดำเนิน โดยราบรื่นมากกว่าที่จะมุ่งประโยชน์จากการสัมมนา ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ ขณะที่การจัดโต๊ะอาหารเป็นแบบโต๊ะจีนหันหน้าเข้าหากัน นั่งแต่ละโต๊ะประมาณ 10 คน ส่วนบนเวทีได้ติดป้ายข้อความว่า “ ขอต้อนรับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และคณะด้วยความรักยิ่ง 31 ต.ค.2546

          ”โดยมีการเสิร์ฟอาหารเย็นและเครื่องดื่มขณะที่สโมสรสันติภาพ 2 ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานนั้นตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ชั้นล่างสำหรับข้าราชการทั่วไป ลักษณะดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นการสัมมนา อีกทั้งระหว่างงานก็มีเสียงดังรบกวน ไม่มีเอกสารประกอบ ไม่มีการถกปัญหาหรือสรุปผลสัมมนา โดยพยานก็ระบุด้วยว่าขณะรับประทานอาหารมีการเสิร์ฟแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งศาลเห็นว่าการจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลทำให้การระดมความคิด การแลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็นถูกบั่นทอนให้ลดลง อีกทั้งการจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสิ่งมึนเมาให้แก่ข้าราชการถือไม่ได้ว่าเป็นการจัดสัมมนาของส่วนราชการตามความหมายที่เข้าใจทั่วไป และถือไม่ได้เป็นการจัดโครงการสัมมนาตามนิยามของการสัมมนาทางวิชาการหรือเชิงปฏิบัติการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ.2545

          เมื่อพฤติการณ์บ่งชี้ตรงกันว่า การจัดและอนุมัติโครงการสัมมนากระทำไปเพื่อให้ข้าราชการ สตง. ไปร่วมการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และการทอดผ้ากฐินสามัคคี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง แต่เบิกจ่ายงบประมาณ สตง. ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ.2545 โดยไม่มีการสัมมนาที่แท้จริง เป็นการเบิกจ่ายโดยไม่มีสิทธิทำให้ สตง.เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองร่วมรู้เห็นตั้งแต่ต้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตาม ม.157 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          ส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ว่า ควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เห็นว่าจำเลยทั้งสองรับราชการที่ สตง.มานานจนดำรงตำแหน่งระดับสูงนับว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราชการ ประกอบกับจำเลยทั้งสองมีอายุมากประมาณ 70 ปี มีเหตุควรปราณี ที่ศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 2 ปี จึงหนักเกินไป สมควรแก้ไขให้เหมาะสม

          ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 1 ปี แต่ที่จำเลยขอให้เรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่า สตง.เป็นส่วนราชการมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของส่วนราชการอื่นให้เป็นไปตามกฎหมายและมติ ครม.ซึ่งการตรวจสอบเพื่อให้เห็นว่ามีการใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ โดยประหยัดและได้ผลตามเป้าหมายและมีผลคุ้มค่าหรือไม่ แต่จำเลยทั้งสองกลับไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินเสียเองทำให้ส่วนราชการอื่นและสังคมทั่วไป เคลือบแคลงและขาดความเชื่อมั่นในความสุจริตและระบบการตรวจสอบซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ พฤตการณ์จึงนับว่าร้ายแรง แม้ว่าคุณหญิงจารุวรรณ จะดำรงตำแหน่งในสถาบันต่างๆหลายแห่ง และนายคัมภีร์ จำเลยที่สอง มีอาการเจ็บป่วยแต่ก็ยังไม่เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะรอการลงโทษให้

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นี้ ยังไม่ถือเป็นที่สุด ซึ่งคู่ความยังสามารถฎีกาได้ภายใน 30 วัน

 

 

 

 

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ