ข่าว

ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 10 ปี “ 2 ชายชุดดำ ” การ์ด นปช.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 10 ปี “ 2 ชายชุดดำ ” การ์ด นปช. ผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มี-ใช้ ปืนเอ็ม 79 – ปืนอาก้า ช่วงทหารสลายเสื้อแดงชุมนุมแยกคอกวัว เม.ย.53

 

            ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่31ม.ค.60 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีชายชุดดำ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช). หมายเลขดำ อ.4022/2557ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ1เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี อายุ49ปี ชาวกรุงเทพฯ,นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น อายุ28ปี ชาวเชียงใหม่ ,นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา อายุ37ปี ชาวอุบลราชธานี,นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย อายุ49ปี ชาวกรุงเทพฯ และนางปุนิกา หรือ อร ชูศรี อายุ43ปี ชาวกรุงเทพฯ เป็นจำเลยที่1- 5ในความผิดฐานร่วมกัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ หรือชุมชน และมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ.2490มาตรา4 , 8ทวิ, 55 , 72ทวิ และ78

          โดยอัยการ ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.57 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่10เม.ย.53 จำเลยกับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้วร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม79 ,ปืนเอ็ม16 ,ปืนเอชเค (HK) 33หรือปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามแยกคอกวัว , ถ.ตะนาว ,ถ.ประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่11ก.ย.57เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้งห้า ส่งพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ) ดำเนินคดี

        ทั้งนี้ระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยทั้งห้า ไม่ได้รับประกันตัว ซึ่งวันนี้ ศาลได้เบิกตัว จำเลยมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และฑัณสถานหญิงกลาง เพื่อฟังคำพิพากษา โดยมีครอบครัวและญาติของจำเลย มาคอยให้กำลังใจเต็มห้องพิจารณาคดี

       โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 กลุ่ม นปช.ได้ชุมนุมกันตั้งแต่ช่วงสะพานปิ่นเกล้า แยกคอกวัวไปจนถึงสะพานผ่านฟ้า โดยเมื่อเวลา 14.00 น.วันดังกล่าวทางการได้สั่งให้กำลังทหารเข้าขอคืนพื้นที่ ซึ่งระหว่างนั้นมีกลุ่มชายชุดดำสวมหมวกไหมพรม ซึ่งมีอาวุธยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ กลุ่มผู้ชุมนุมและพลเรือน กระทั่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ไปตรวจที่เกิดเหตุพบเศษปลอกกระสุนเอ็ม 79 ปลอกกระสุนปืนกลเล็กขนาด 5.56 มม. ต่อมามีผู้แจ้งว่าพบรถยนต์ฮอนด้าสีขาวจอดไว้อยู่ที่บ้านริมน้ำนานผิดสังเกต กระทั่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกระทั่งสืบทราบกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้ควบคุมตัวจำเลยทั้งห้าคนมาสอบถาม

         โดยส่วนของนายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 นั้น โจทก์มีทหารม้าเป็นพยาน เบิกความว่า วันเกิดเหตุขับรถฮัมวี่พวงมาลัยซ้าย เพื่อพากำลังทหารไปในพื้นที่ตามคำสั่งสลายการชุมนุมและรอรับกลับ ระหว่างจอดรถรออยู่หัวรถหันไปทางกองทัพบก ท้ายรถหันมาทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้เห็นรถตู้โตโยต้าสีขาวขับผ่านมา แล้วชะลอความเร็วโดยมีชายคนหนึ่งผลักประตูรถเลื่อนออกมาแล้วตะโกนด่าพยาน ภายหลังทราบว่าเป็นจำเลยที่ 1 โดยระหว่างนั้นก็เห็นอาวุธปืนอยู่ในรถคันดังกล่าวด้วย แม้คำเบิกความของพยานดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลารวดเร็วที่มองเห็นบุคคลซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ได้ความว่ารถตู้ได้ชะลอความเร็ว ประกอบกับพยานเป็นทหารน่าจะมีความสามารถพิเศษในการจดจำบุคคล ประกอบกับสอดคล้องกับคำเบิกความของพี่สาวของผู้ชุมนุมที่ใกล้ชิดจำเลยที่ 1 ระบุว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 มีอาชีพขับรถตู้รับจ้างเช่นเดียวกับน้องชายซึ่งเคยพากันไปชุมนุมหลายครั้ง ก่อนเกิดเหตุเห็นช่วยกันขนกระเป๋าสีดำจากรถยนต์ฮอนด้าสีขาวที่จอดไว้บริเวณบ้านริมน้ำมายังที่ห้องพักโดยพยานเห็นปากกระบอกปืนโผล่ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก่อนไปชุมนุมได้ขนกระเป๋าและลังสีน้ำตาลใส่รถตู้สีขาวเพื่อจะพาไปยังที่ชุมนุม จึงเห็นว่าพยานปากนี้คุ้นเคยกับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุจะปรักปรำให้ต้องรับโทษ ส่วนที่อ้างว่าพยานถูกข่มขู่ ถ้าเป็นจริงพยานก็น่าจะเบิกความพาดพิงจำเลยคนอื่นๆด้วย นอกจากนี้ยังมีเจ้าของรถตู้ที่เบิกความว่าจำเลยที่ 1ได้เช่ารถไปใช้ต่อ

          ดังนั้นจึงสอดรับกับพยานที่เป็นทหาร ซึ่งได้ควบคุมตัวและบันทึกการสอบถามจำเลยทั้งห้าไว้ซึ่งอ้างถึงคำรับสารภาพว่า มีการวางแผนจัดเตรียมอาวุธไปในที่ชุมนุมโดยจำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 จำเลยที่ 2 จะใช้ปืนอาก้า จำเลยที่ 4 จะใช้ปืนเอ็ม 16จำเลยที่ 5 ถือระเบิดเพลิงส่วนจำเลยที่ 3 จะช่วยส่งอาวุธปืนให้

          ส่วนที่นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 อ้างว่ากล่องที่ขนไว้ในรถตู้เป็นอะไหล่ซ่อมรถนั้น เป็นเพียงการกล่าวอ้าง และที่ว่ารับสารภาพเพราะถูกข่มขู่นั้น ก็ไม่ปรากฏร่องรอยการถูกซ้อม ซึ่งพยานโจทก์ทุกปากให้การสอดคล้องกันกับภาพถ่าย,บันทึกการสอบถามผู้ต้องหาและบันทึกการนำชี้จุดที่เกิดเหตุ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

         สำหรับนายปรีชา จำเลยที่ 2 นั้น มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายที่แฝงตัวอยู่ในชุมนุม เบิกความว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ มีกลุ่มชายชุดดำที่มีอาวุธปืนอาก้า เข้ามาในที่ชุมนุม ซึ่งการ์ดนปช.ได้ขอตรวจบัตร แต่กลุ่มชายชุดดำอ้างว่าไม่ได้นำมา จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุมจึงได้ถอดหมวกไหมพรมของหนึ่งในชายชุดดำออกก่อนที่จะยึดอาวุธปืน ก็พบว่าเป็นใบหน้าจำเลยที่ 2แต่ขณะที่กำลังจะถอดหมวกไหมพรมชายชุดดำคนที่ยืนถัดไปได้เพียงครึ่งหน้าก็ปรากฏว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณที่ชุมนุม ทำให้ชายชุดดำดังกล่าววิ่งออกไป

         ส่วนที่จำเลยที่2 อ้างว่าไม่ได้ไปที่ชุมนุม แต่ไปรับจ้างเดินสายไฟที่อาคารศูนย์ราชการนั้น ก็ไม่ได้มีพยานบุคคลรวมทั้งสัญญาจ้างมากล่าวอ้าง ทั้งที่สามารถหาพยานบุคคลได้โดยง่าย และที่อ้างว่าภาพถ่ายจำเลยที่ 2 ขณะเปิดหมวกไหมพรมนั้นเป็นภาพตัดต่อ ก็ไม่ปรากฏข้อพิรุธในภาพถ่ายของโจทก์ ดังนั้นพยานโจทก์ที่นำสืบในส่วนของจำเลยที่ 1 - 2 จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าร่วมกันกระทำผิด

        ส่วนจำเลยที่ 3 - 5 แม้โจทก์จะมีบันทึกคำให้การของจำเลยทั้งห้าในช่วงที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวและสอบถาม ซึ่งเคยรับว่าอยู่ในที่ชุมนุม แต่โจทก์ก็ไม่มีประจักษ์พยานอื่นใด รวมทั้งพยานแวดล้อมมานำสืบประกอบขณะที่จำเลย 3 - 5 ให้การปฏิเสธในชั้นศาล โดยจำเลยบางปากอ้างว่าขายข้าวไข่เจียวอยู่ ไม่อาจรับฟังได้ว่าระหว่างนั้นได้ครอบครองและใช้อาวุธปืน พยานหลักฐานโจทก์ยังมีเหตุสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 3 - 5 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

        จึงพิพากษาว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และนายปรีชา จำเลยที่2 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490มาตรา4, 8ทวิ55, 72 ,78 ให้จำคุกคนละ 8 ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี

         ส่วนนายรณฤทธิ์,นายชำนาญ และนางปุนิกา จำเลยที่ 3 - 5 นั้น พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์

         ภายหลังศาลมีคำพิพากษา ครอบครัวและญาติของจำเลยที่ 3 – 5 ได้กอดกันทั้งน้ำตา ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ก็ต้องควบคุมตัวจำเลยทั้งห้าไปคุมขังตามคำสั่งศาล

         ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ กล่าวว่า เรายังเห็นต่างในเรื่องการรับฟังพยานของศาล โดยเราจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ขอต่อสู้คดีต่อไป ส่วนจำเลยที่ 3-5 ที่ศาลยกฟ้องแต่ยังให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์นั้น ทีมทนายความจะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อให้จำเลยทั้ง 3 คนที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องได้ออกมาข้างนอกโดยไม่ต้องถูกขังรอระหว่างอุทธรณ์ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้นก็จะต้องลองยื่นคำร้องดูก่อน เนื่องจากในคดีนี้ศาลชั้นต้นเองก็ได้มีคำสั่งให้ยกฟ้องไปแล้ว แต่ที่ยังให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์อาจเพราะยังเกรงว่าจำเลยจะหลบหนีระหว่างอุทธรณ์ อีกอย่างตนเชื่อว่าอัยการโจทก์จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป

         “ที่ผ่านมาในชั้นพิจารณาเราเคยยื่นประกันจำเลยทั้งหมดไป 3 ครั้งแต่ไม่ได้รับการประกันตัว และในชั้นอุทธรณ์เราก็จะยังขอใช้สิทธิยื่นประกันตัวจำเลยทั้งหมดอีก ” นายวิญญัติ ทนายความ กล่าว

         ขณะที่นายธำรง หลักแดง ทนายความจำเลยที่ 3 และ 4 กล่าวว่า หลังจากนี้จะเตรียมหลักทรัพย์ยื่นขอปล่อยชั่วคราวจำเลย 3-5 ที่ศาลสั่งให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ โดยมูลค่าหลักทรัพย์จะเริ่มตั้งแต่ 6 แสนบาทที่เคยเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ซึ่งเคยยื่นตั้งแต่ชั้นพิจารณาคดี หรืออาจจะเพิ่มหลักทรัพย์สูงสุดอีกเท่าตัวเป็นหลักล้านบาท

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ