
สมาชิกคลองจั่นข้องใจใครถ่วงคดี
สมาชิกคลองจั่นทวงถามความคืบหน้าคดีฟอกเงินสหกรณ์. ข้องใจใครถ่วงคดี DSIแจงส่งหลักฐานให้อัยการครบถ้วนแล้ว รอฟังผลคดี 30 พ.ย. แนะผู้ต้องหาเข้ามอบตัว
16 พ.ย. - นายธรรมนูญ อัตโชติ ตัวแทนผู้เสียหายสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น นำผู้เสียหายกว่า 20 คน เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและเร่งรัดการสอบสวนคดีพิเศษที่ 27/2559 กรณีความผิดฐานฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งเชื่อมโยงกับการรับเช็คบริจาคของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ภายหลังอัยการเลื่อนการสั่งคดีหลายครั้ง โดยมีพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษเป็นผู้รับหนังสือแทนอธิบดีดีเอสไอ
ด้านพ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนติดตามเส้นทางการเงินจากเช็คกว่า 800 ฉบับชี้แจงกับสมาชิกสหกรณ์ ว่า ดีเอสไอสอบเพิ่มเติมตามประเด็นที่ได้รับการประสานจากอัยการทุกครั้งที่ผ่านมาอัยการสั่งสอบเพิ่มเติม 4-5 ครั้ง ได้รวบรวมข้อเท็จจริงส่งกลับไปให้อัยการจนครบถ้วนแล้วและมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องในส่วนของคณะพนักงานสอบสวนก็มีตัวแทนของอัยการร่วมด้วย ประเด็นหลักที่เป็นสาระสำคัญยืนยันว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอต่อการสั่งฟ้องคดีแน่นอน ส่วนกรณีที่มีตัวแทนวัดพระธรรมกายยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับอัยการเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้วและที่ผ่านมาก็ได้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับทุกหน่วยงานตามที่มีการเข้าร้องขอความเป็นธรรม
พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวต่อว่า การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมของฝ่ายผู้ต้องหามีเจตนาประวิงเวลา ไม่ยอมเข้าสู่ขั้นตอนตามกฎหมาย การจะร้องขอความเป็นธรรม ผู้ต้องหาก็ควรใช้สิทธิ์ในการนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย ตนขอให้เห็นใจผู้เสียหายที่สะสมเงินมาตลอดชีวิต ขอให้ผู้ต้องหาเข้าสู่ขั้นตอนตามกฎหมายแล้วค่อยเรียกร้องความเป็นธรรม การดำเนินคดีนอกจากอัยการแล้วยังมีขั้นตอนของพิสูจน์อีก 3 ศาล อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้เสียหายต้องการทราบความชัดเจนเกี่ยวกับการสั่งคดีฟอกเงินของอัยการในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ขอให้รอฟังการพิจารณาในชั้นอัยการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการยื่นหนังสือได้มีตัวแทนผู้เสียหายพยายามซักถามถึงการทำงานของพนักงานสอบสวน และมีความเป็นห่วงประเด็นที่อัยการเลื่อนการสั่งฟ้องคดีออกไปหลายครั้ง จึงกังวลว่าในวันที่ 30 พ.ย.นี้ซึ่งเป็นการนัดสั่งคดีครั้งที่ 5 จะมีการเลื่อนสั่งคดีไปหลังฝ่ายผู้ต้องหายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าดีเอสไอสอบสวนคดีมิชอบ พร้อมตัดพ้อว่าคดีดังกล่าวมีความเสียหายจำนวนมากไม่แตกต่างจากคดีจำนำข้าว แต่สอบสวนมาหลายปียังจับผู้ต้องหาได้เพียงคนเดียว อยากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 เข้ามาช่วยเหลือเร่งรัดคดีในรูปแบบเดียวกับคดีจำนำข้าว และประเด็นที่น่ากังวลคือ การพบว่ามีเงินจำนวนกว่า 40 ล้านบาท ไปปรากฏในบัญชีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ยิ่งส่งผลกระทบกับภาพการทำงานของดีเอสไอ
นอกจากนี้ ผู้เสียหายเสนอให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอเร่งรัดการจับกุมพระธัมมชโยตามหมายจับของศาลอาญา เพื่อนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเร็วที่สุดด้วย เพราะขณะนี้พระธัมมชโยยังไม่มีสถานะเป็นผู้ต้องหาในคดี



