“ตู่”เตือน"เพื่อไทย ชี้“สุภา”เหมือน“วิชา” มาเพื่อล้างบาง
“จตุพร"เตือน"ส.ส.พท.ชี้“สุภา”เหมือน“วิชา”มาเล้างบาง"พท."มุ่งชนะ“ทักษิณ” ซัดผู้ใหญ่ใจแคบระวังประเทศล่มจม ระบุคดีจำนำข้าว ไม่มีใครกล้าเซ็นรับรอง
18 ก.ย. 59 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ว่า ตนขอส่งสัญญาณเตือนพรรคเพื่อไทยว่า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานตรวจสอบอดีตส.ส. เสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการกวาดล้างนักการเมืองพรรคฝ่ายตรงข้ามจะเกิดขึ้นอย่างเด่นชัด อาการกวาดล้างทางการเมืองถูกแสดงออกจากวิธีคิดที่คับแคบ มีจิตใจไม่เปิดกว้างของผู้นำประเทศด้อยพัฒนา และแนวโน้มประเทศไทยขณะนี้ กำลังเผชิญหน้ากับความคิดแบบเล็กๆ ที่มุ่งเอาความสะใจในการกวาดล้างทางการเมืองฝ่ายตรงข้าม โดยละเลยวิธีคิดใหญ่ๆ ใจใหญ่แบบผู้นำประเทศกลุ่มที่ 1 แม้ผ่านสงครามทำลายประเทศย่อยยับ ยังสามารถนำประเทศไปสู่การเติบโตได้สำเร็จ
ทั้งนี้แนวโน้มการล้างบางอดีตพรรคร่วมรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มส่ออาการออกมาชัดเจนขึ้น เมื่อ น.ส.สุภา ซึ่งถอดแบบการทำงานมาจากนายวิชา มหาคุณ อดีต ป.ป.ช. ราวกับผู้มีอำนาจได้ปลูกถ่ายดีเอ็นเอให้เป็นคนเดียวกัน เพื่อมาทำหน้าที่ทำลายปฏิปักษ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นแบบอย่างโมเดลผู้นำที่มีความคิดเล็กๆ ในโลกด้อยพัฒนา ดังนั้น ประเทศจึงมีแต่แนวโน้มถอยหลังไปเรื่อยๆ ความตั้งใจยกระดับประเทศไทยไปอยู่ในประเทศกลุ่มที่ 1 คงได้แต่พูด แต่ทำไม่ได้
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อ น.ส.สุภา ตรวจสอบ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม จนถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติ ถอดถอนออกจากตำแหน่ง จนถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ด้วยข้อหาปลัดกระทรวงกลาโหมไม่ได้ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นข้อหาที่แหลกเหลว เพียงเพื่อเล่นงานทางการเมืองกัน สิ่งนี้จึงเป็นสัญญาณการล้างบางนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจะเกิดขึ้นตามวิธีคิดคับแคบแบบเน้นความสะใจเท่านั้น
นอกจากนี้น.ส.สุภา ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานตรวจสอบนักการเมืองที่เสนอและร่วมลงชื่อร่างกฎหมายนิรโทษกรรม หรือกฎหมายสุดซอย ดังนั้น เชื่อว่า แนวโน้มคงเดินหน้ากวาดพรรคการเมืองที่ร่วมเป็นรัฐบาลชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงและความถูกผิด แต่คิดแบบคับแคบ เอาเพียงความสะใจกับการล้างบางอดีต ส.ส. 40 คน ที่เสนอร่างกฎหมายสุดซอย แล้วจะนำพาไปสู่การกวาดล้างอดีต ส.ส.อีกประมาณ 260 คน ที่โหวตรับร่างกฎหมายฉบับนี้
อย่างไรก็ตามส่วนตัวแล้ว ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายสุดซอย เพราะเห็นไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง แต่การออกกฎหมายใดๆ นั้นเป็นอำนาจ หน้าที่ และการปฏิบัติงานของ งส.ส.จึงไม่ผิด เมื่อ น.ส.สุภา มาเป็นประธานการตรวจสอบนักการเมือง หากเชื่อมโยงการเล่นงาน พล.อ.อ.สุกำพล แล้ว แนวโน้มอดีต ส.ส. จะถูกกวาดจะเกิดขึ้น การกวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม โดยปักธงเอาชนะ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้นั้น มีเพียงการทำงานหนัก หรือทำดีต่อประชาชนให้มากกว่า แต่การมุ่งไปสู่เป้าหมายให้ได้ชัยชนะแบบมักง่าย เน้นสนองความสะใจ โดยละเลยข้อเท็จจริง ความถูก ผิดแล้ว ย่อมไม่ชนะใจประชาชน เมื่อมีการเลือกคิดหรือว่า จะชนะ และไม่คิดหรือว่า การทำลายพรรคไทยรักไทยก็เกิดพรรคพลังประชาชน เมื่อถูกทำลายอีก ยังมีพรรคเพื่อไทยเกิดขึ้น หากมาทำลายอีก แล้วไม่คิดหรือว่า นักการเมืองรุ่นที่ 4 จะเกิดสืบทอดกันไปทำหน้าที่ในสภาอีก
นายจตุพร กล่าวว่า การมุ่งยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จากกรณีกล่าวหาโครงการรับจำนำข้าวเกิดความเสียหายนั้น แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งตาม ม.44 ก็ตาม แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครลงนามรับรองความเสียหายที่กล่าวหาเพื่อให้กรมบังคับคดีนำไปยึดทรัพย์ ทรัฐมนตรีพาณิชย์ก็บอกปัด เมื่อมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่กล้า พร้อมยืนยันไม่ลงนาม หน่ำซ้ำเมื่อถูกบังคับก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งอีกด้วย สิ่งนี้สะท้อนถึงภาวะลังเล การไม่แน่ใจกับข้อหา และสร้างข้อเท็จจริงผิดๆ มากล่าวหากัน จึงมีการบอกปัดเป็นทอดๆ แต่ขบวนการไอ้ห้อย ไอ้โหน ยั่วยุกลับเร่งเพื่อให้เกิดความสะใจ และต้องการเอาชนะทางการเมือง โดยละเลยข้อเท็จจริง เมื่อถูกพิสูจน์แล้ว อาจถูกฟ้องกลับในวันข้างหน้าได้ ซึ่งจะเป็นการแพ้ทางการเมืองระยะยาว
ทั้งนี้ตนเห็นว่า เมื่อบ้านเมืองไร้หลัก และเอาแต่คิดเล็ก ใจแคบแล้วย่อมนำพาประเทศจมลง อีกทั้งผู้ใต้บังคับบัญชายังเกิดมิติเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบได้ราวกับเอาใจความฝังใจ ความผูกพันวัยเด็กของผู้มีอำนาจ จึงเกิดวิธีคิดแบบคลองผดุงกรุงเกษม โดยละเลยหรือให้ความสนใจคลอง แม่น้ำทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีทำตลาดน้ำคลองผดุงกรุงเกษมเป็นสิ่งที่ดี แต่การคิดเล็กแค่คลองเดียวไม่ได้ ต้องศึกษาตลาดน้ำ การขนส่งเชื่อมโยงให้เป็นระบบและเกิดผลดีทางเศรษฐกิจ โดยเอาคลองผดุงกรุงเกษมเป็นโมเดล เพื่อทำให้เป็นงานใหญ่ คิดใหญ่ ไม่ใช่ทำแต่คลองเดียวแล้วมีความสุข ราวกับทำให้ย้อนทวนไปถึงความผูกพันในสมัยเด็กติดหมอน ฝังใจกับเสื้อตัวนั้นตัวเดียว การคิดใหญ่จึงไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามการเป็นผู้นำต้องไม่ใจแคบ เอาแต่มองปัญหาให้เกิดกับฝ่ายปฏิปักษ์อย่างเดียว จึงละเลยการคิดทำในสิ่งใหญ่ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญของส่วนร่วม ดังนั้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผู้นำพร้อมเปิดใจกว้าง รับฟังคนอื่นหรือไม่ อีกทั้งถ้าทำในสิ่งที่สังคมเห็นว่ามากเกินไปแล้ว ย่อมเกิดแรงสะท้อนกลับมาถึงได้



