แถลงปิดสำนวนคดีถอดถอน”สุกำพล”
แถลงปิดสำนวน“บิ๊กโอ๋”ป.ป.ช.ย้ำข้อหา “บิ๊กโอ๋””ใช้ตำแหน่ง รมว.กลาโหม ล้วงลูก ตั้ง “พล.อ.ทนงศักดิ์”นั่งปลัดกห. โดยไม่มีกม.และระเบียบรองรับ ทำลายความมั่นคง
15 ก.ย. -- ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 ประกอบมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยเป็นการรับฟังคำแถลงการณ์ปิดสำนวนด้วยวาจาของ คณะกรรมกรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา และพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ผู้ถูกกล่าวหา โดยน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลงปิดสำนวนคดีว่า พล.อ.อ.สุกำพล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการในการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล สำนักปลัดกระทรวงกลาโหมซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1)(2) รวมถึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551 ข้อ15 มีมูลส่อว่าจงใจในการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
น.ส.สุภา กล่าวว่า การที่พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอ้างว่าการประชุมในวันที่ 17 ส.ค.2555 เพื่อแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นการประชุมชอบด้วยกฏหมายไม่ใช่เป็นการปรึกษานอกรอบ เป็นคำกล่าวอ้างที่คลาดเคลื่อนเพราะการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งจะต้องเป็นไปตามพ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2511 มาตรา 25 และการที่อ้างว่าตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นตรงกับรัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม จึงมีสิทธิเสนอชื่อได้ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมฯข้อที่ 15 เป็นการตีความโดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นการตีความอย่างเลื่อนลอยในเชิงขยายอำนาจเพื่อมีเจตนาเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการแต่งตั้ง นอกจากนี้ที่กล่าวอ้างว่า การพิจารณาตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมไม่มีข้อกฎหมายหรือข้อบังคับใดให้มีบัญชีรายชื่อเป็นบัญชีเดียวกันตั้งแต่การประชุมครั้งแรก แต่การประชุมให้ความเห็นชอบครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2555 ได้มีบัญชีรายชื่อทุกตำแหน่งในบัญชีเดียวกันพิจารณาพร้อมกันนั้น โดยข้อเท็จจริงการที่พล.อ.อ.สุกำพลเสนอชื่อเพียงชื่อเดียวโดยไม่มีรายชื่อนายทหารชั้นนายพลรายอื่นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมหรือแนวทางที่เคยปฏิบัติและไม่มีเหตุผลข้อเท็จจริงใดรองรับ
น.ส.สุภา กล่าวว่า การกระทำของพล.อ.อ.สุกำพล ในการแต่งพล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วย ผบ.ทบ.เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนอย่างมีสาระสำคัญและขัดต่อพ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงโหมฯชี้ให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดแจ้งว่าได้ใช้สถานะหรือตำแหน่งรัฐมนตรีก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม โดยจากคำพูดที่ พล.อ.อสุกำพลระบุว่า “ถ้าไม่แทรกแซงล้วงลูกเลยก็ไม่ต้องเป็นรมว.กลาโหมเลยดีกว่า” ไม่อาจตีความหรือวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ กรณีนี้ยิ่งกว่าคดีของนายประชา ประสพดี อดีต รมช.มหาดไทย ที่เข้าไปแทรกแซงการตั้งผอ.องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทยที่เป็นจุดเล็ก ๆ แต่พล.อ.สุกำพล เข้าไปแทรกแซง รั้วของชาติ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบราชการ
น.ส.สุภา กล่าวว่า การเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงย่อมให้เกิดปัญหาให้ฝ่ายการเมืองมาแทรกแซงไม่จบสิ้นเหมือนในอดีต ทำให้ข้าราชการประจำวิ่งเข้าหานักการเมืองเพื่อตำแหน่ง เพื่อความก้าวหน้า รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศหมดความศักดิ์สิทธิ์และทำลายความน่าเชื่อถือและศรัทธาของประชาชนที่ให้การสนับสนุนมาบริหารประเทศ ประกอบกับกระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญคือ การพิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอกราชอาณาจักร หากปล่อยปละละเลยให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้สถานะของตนเองเข้าไปดำเนินการดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดความอ่อนแอในการบังคับบัญชา แตกความสามัคคีในคณะทหาร ซึ่งระบบการแต่งตั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ดีต้องล่มสลาย ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการทหารต้องเสื่อมถอยลง และต้องเสื่อมประสิทธิภาพ
“แม้พล.อ.อ.สุกำพล จะได้พ้นตำแหน่งไปแล้วก็สมควรที่ สนช.จะใช้ดุลนิจลงมติถอดถอนเพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและป้องกันไม่ให้พล.อ.อ.สุกำพล กลับเข้ามีอำนาจหรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดอื่นในหน่วยงานของรัฐได้อีก”น.ส.สุภา กล่าว
ด้านพล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551และข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งทหารชั้นนายพลพ.ศ.2551 และแบบธรรมเนียมปฏิบัติของกระทรวงกลาโหมทุกขั้นตอน มีการนัดประชุม มีกรอบเวลาในการทำงาน มีองค์ประชุมครบ โดยมีการจัดประชุม2 ครั้ง โดยครั้งแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมเพียงตำแหน่งเดียว ซึ่งส่วนได้เสนอชื่อพล.อ.ทนงศักดิ์ ต่อที่ประชุมร่วมกับพล.อ.ชาตรี ทัตติ ขอยืนยันว่าพล.อ.ทนงศักดิ์ไม่ใช่รุ่นเดียวกับตนแต่เป็นรุ่นน้องหนึ่งปี ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช่พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา เข้ามาร่วมการประชุมด้วย เพราะพล.อ.พิณภาษณ์เป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการเท่านั้น มีหน้าที่จดบันทึกการประชุมอย่างเดียว ไม่มีสิทธิออกเสียงทั้งสิ้น ประกอบกับตนเองต้องการรักษาความลับ อีกทั้งการประชุมครั้งนี้มีแค่วาระเดียวเท่านั้น สามารถจำเอาก็ได้ ไม่ต้องจดบันทึกการประชุม
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ผลการพิจารณาในครั้งนั้นผู้บัญชาทหารสูงสุด คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารเรือ คือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ และผม รวม4 คน มีมติเลือกพล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม มีเพียงพล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกกระทรวงกลาโหม คนเดียวที่เสนอชื่อพล.อ.ชาตรี ประเด็นสำคัญ คือ การได้มาซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมนั้นจากการลงมติเป็นการถามทีละคนผมจำได้ ส่วนการประชุมครั้งที่สอง เป็นการพิจารณาโยกย้ายนายทหารทุกหน่วยราชการ 811 คน ทุกรายชื่อได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยมีการพิจารณาคณะกรรมการของแต่ละส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมทั้งหมดและกรรมการตามพ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหมพ.ศ.2551 ที่เข้าร่วมประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนได้เห็นชอบและร่วมลงนามทั้งหมด
"ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าเป็นการประชุมที่ถูกต้องทุกประการ สิ่งที่สำคัญคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ให้การยืนยันกับคณะกรรมการไต่สวนของป.ป.ช.เป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันว่าเป็นการประชุมที่ถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับทุกประการ แต่ป.ป.ช.ละเลยที่จะพิจารณาคำชี้แจงของท่านทั้งหลายเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ทั้ง ๆ ที่ลายลักษณ์อักษรที่เขาตอบมานั้นเป็นช่วงที่ผมออกจากตำแหน่งรมว.กลาโหมแล้ว" พล.อ.อ.สุกำพล
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า การที่คณะกรรมการป.ป.ช.โดยเสียงข้างมากละเลยไม่พิจารณาคำยืนยันของส่วนราชการในกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม กรมเสมียนตรา และกรมพระธรรมนูญที่ยืนยันตรงกันว่ารมว.กลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชาของปลัดกระทรวงกลาโหม ดังนั้น ปลัดกระทรวงกลาโหมจึงเป็นนายทหารชั้นนายพลที่ขึ้นตรงกับรมว.กลาโหม โดยรัฐมนตรีมีอำนาจเสนอบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมต่อที่ประชุมคณะกรรมการการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหมได้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณสมาชิกสนช.ที่รับฟังคำชี้แจง และขอบคุณคณะกรรมการป.ป.ช.เสียงข้างน้อย 3 เสียงที่เข้าใจการทำงานของตน และขอให้สมาชิกสนช.ทุกท่านกรุณาใช้วิจารณญาณต่อไป
จากนั้นนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.สรุปว่า เมื่อป.ป.ช.และพล.อ.อ.สุกำพลได้แถลงปิดสำนวนคดีเสร็จแล้ว ที่ประชุมสนช.จะประชุมกันเพื่อพิจารณาว่าจะลงมติถอดถอนพล.อ.อ.สุกำพลหรือไม่ในวันที่ 16 ก.ย.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ร.บ.ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 กำหนดให้ต้องใช้เสียง3ใน5 ของจำนวนสมาชิกสนช.เท่าที่มีอยู่ หรือ 131 คนจากสมาชิกสนช.ที่มีอยู่ 217 คน