ข่าว

"ปชต.ใหม่" เมินคำเตือน

"ปชต.ใหม่" เมินคำเตือน

17 ก.ค. 2559

"ปชต.ใหม่" เดินหน้าแจกเอกสารเห็นแย้งร่างรธน. ชี้คำตัดสินเนื้อหาโดยกรธ.-กกต.ไร้เหตุผล ท้าเปิดเวทีดีเบตเพื่อประโยชน์ปชช. ปลุก ปชช.ไปโหวตโน เพื่อสั่งสอน "ประยุทธ์"

 

          วันที่ 17 ก.ค. 59 - กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ นำโดย นายรังสิมัน โรม และวรวุฒิ บุตรมารต สมาชิกกลุ่มประชาธิปไตย ใหม่ แถลงถึงการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ พร้อมเปิดตัวและเผยแพร่เอกสารชุดใหม่ที่ใช้ในการเคลื่อนไหว 

          โดยรังสิมัน แถลงว่า กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อผลการตรวจสอบเอกสารความเห็นแย้งคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ​ที่ระบุในเบื้องต้นว่าเป็นเอกสารบิดเบือน เพราะข้อสรุปของการตรวจสอบดังกล่าวไม่อธิบายเหตุผลหรือรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งตนมองว่ากรณีดังกล่าวไม่มีความเป็นธรรมต่อกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เพราะ กกต. ไม่เคยเรียกสมาชิกกลุ่มฯ หรือผู้ที่จัดทำเอกสารไปชี้แจงรายละเอียดของการจัดทำ ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ให้ความเห็นส่วนตัวผ่านเฟซบุ๊ค ว่าเอกสารเข้าข่ายผิดกฎหมาย และห้ามแจกจ่ายเอกสาร โดยไม่มีข้อสรุป หรือรายละเอียดที่เป็นมติของ กกต. หรือมติอย่างเป็นทางการ​ถือว่าเป็นการห้ามประชาชนใช้สิทธิ และเสรีภาพในการแสดงออก ของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ดังนั้นทางกลุ่มฯ จะไม่หยุดการแจกเอกสารดังกล่าวไปสู่ประชาชน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนต่อการตัดสินใจออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญด้วยข้อมูลที่รอบด้าน กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ขอท้า กรธ. ให้ขึ้นเวทีดีเบตเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ

          "ขอให้ใช้การโหวตโนร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค. เป็นบทเรียนสอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ซึ่งประชาชนต้องเลือกเพื่อแสดงออกว่าจะยอมรับอำนาจทหารต่อไปหรือไม่ ดังนั้นขอให้ตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่าใช้ความเป็นกลางโดยเด็ดขาด ซึ่งผมเชื่อว่าหากผลโหวตโนที่ชนะจะไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน" นายรังสิมัน กล่าว

           "ปชต.ใหม่" เมินคำเตือน
  
          ทางด้านนายวรวุฒิ แถลงด้วยว่า กรธ. และ กกต. ไม่มีอำนาจใด ที่จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าเนื้อหาของบุคคล หรือ เนื้อหาในเอกสารความเห็นแย้งคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ที่จัดทำโดยกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ว่าเป็นเอกสารที่บิดเบือน หรือสร้างความสับสนของประชาชนต่อการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะ กกต. และกรธ. ถือเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับประเด็นดังกล่าว หากจะยับยั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ที่เห็นต่างร่างรัฐธรรมนูญ ตนมองว่าไม่ต้องจัดให้มีการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนไปออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้เงินภาษีของประชาชนดำเนินการจะเหมาะสมกว่า​
  
          นายวรวุฒิ แถลงถึงรายละเอียดและสาระสำคัญของเอกสารรณรงค์ฉบับใหม่ หัวข้อ "7 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสือทอดอำนาจคณะรัฐประหาร"  ด้วยว่า 1.ทหารกลายเป็นรัฐซ้อนรัฐ มีอำนาจล้นฟ้ายิ่งกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง เพราะเนื้อหามาตรา 52 ที่ระบุให้บทบาททหารเพื่อการพัฒนาประเทศ เท่ากับการรับรองให้อำนาจกองทัพ หรือองค์กรทหารมีสิทธิ หน้าที่ หรือสถานะเป็นองค์กรพี่เลี้ยง หรือเป็นรัฐบาลที่อยู่เหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 2.รับรองทุกการกระทำของคณะรัฐประหารว่าเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 279 วรรคสองเป็นบทบัญญัติรับรองคำสั่งและการปฏิบัติการของคสช.​ แม้จะมีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนว่าเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย​, 3.คณะรัฐประหารมีอำนาจแต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เพราะการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระหรือศาลรัฐธรรมนูญต้องผ่านการรับรองจาก ส.ว.​ที่มาจากการคัดเลือกของคสช. ทำให้องค์กรดังกล่าวนั้นยังคงเป็นเครื่องมือของคณะรัฐประหาร ซึ่งตนมองว่าเป็นประเด็นที่สร้างปัญหาที่ทำให้ คสช. ขยายอำนาจเข้าสู่องค์กรอิสระ เหมือนกับในยุคของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกมองว่าแทรกแซงองค์กรอิสระ  

                                                                 "ปชต.ใหม่" เมินคำเตือน

 

          นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า 4.รัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้ ถ้าทหารไม่ยินยอม ตามเนื้อหาของร่างรัฐธรมนูญที่กำหนดเงื่อนไขการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องมีเสียงของส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมด้วย ซึ่งส.ว.ชุดแรกที่จะปฏิบัติหน้าที่มาจากการเลือกโดย คสช. ดังนั้นการแก้ไขเนื้อหาของรัฐธรรมนูญประเด็นใด เชื่อว่าส.ว.ต้องฟังเสียงบัญชาการของทหารก่อนตัดสินใจ 5.คสช.มีอำนาจต่อไป แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะประกาศใช้ โดยข้อเท็จจริงคสช. จะอยู่ทำหน้าที่ไปจนกว่าได้รัฐบาลชุดใหม่ โดยในช่วงที่คสช. ปฏิบัติหน้าที่ยังคงมีอำนาจตามรรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 และสามารถใช้มาตรา 44 เพื่อดำเนินการใดๆ ได้ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ว่า คสช. อาจใช้มาตรา 44 ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติได้ 6. ทหารคุมยุทธศาสตร์ชาติ ตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ มาตรา 65 กำหนดให้รัฐจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป้าหมายพัฒนาประเทศ โดยข้อเท็จจริงปัจจุบันมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลคสช. ตั้งแต่ปี  2558  เพื่อทำหน้าที่เสนอแนะ หรือตักเตือนรัฐบาล ดังนั้นแม้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชุดที่ คสช. แต่งตั้งยังอยู่ต่อไป ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติของคสช. อาจเข้าไปควบคุมการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ และทำให้รัฐบาลกลายเป็นเป็ดง่อย เพราะก่อนการทำงานต้อรอฟังความเห็นของบุคคลต่างๆ ก่อน

          นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า และ 7.รับรองพรรคทหาร 1 ใน 3 ของรัฐสภา พร้อมกำหนดอนาคตลูกหลานไทย 20 ปี ซึ่งตามเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ​ที่กำหนดให้มี ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250  คน ซึ่งมาจากการเลือกของ คสช. ซึ่งส.ว.มีอำนาจในการตรวจสอบ ออกกฎหมาย ซึ่งการบริหารงานแผ่นดินต้องทำโดยกฎหมาย  ซึ่งในขั้นตอนของการพิจารณากฎหมายที่สำคัญที่กระทบหรือปฏิรูปองค์กรทหาร  ส.ว. ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภาอาจไม่ให้ความเห็นชอบได้ และที่สำคัญในการทำยุทธศาสตร์ชาติที่มีผลกระทบต่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ ตนไม่ยอมที่จะให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. หรือคนสูงอายุ ที่ต้องวัดความดัน เติมน้ำเกลือก่อนเข้าทำหน้าที่มากำหนดอนาคตของเยาวชน ซึ่งคนรุ่นใหม่ควรมีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเองได้ ไม่ใช่อยู่ในมือของคนแก่ใกล้ตาย.