ข่าว

สนช.ควรดู ! กม.จัดซื้อจัดจ้างเปิดช่องโกง

สนช.ควรดู ! กม.จัดซื้อจัดจ้างเปิดช่องโกง

09 ก.ค. 2559

ปชป.เสนอสนช.แก้ไขร่างพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯพัสดุภาครัฐใหม่ ชี้เอื้อประโยชน์ให้มีการโกง 

 

          9 ก.ค. 59 - นายราเมศ  รัตนะเชวง รองโฆษกและฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงความกังวลต่อกรณีการพิจาณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐพ.ศ. ... ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)  ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในวาระ 2 ที่มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อแปรญัตติในร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะเดิมประเทศไทยได้ใช้ ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535  การที่รัฐบาลมีดำริ จะยกระดับจากระเบียบขึ้นมาเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ เพื่อป้องกันการทุจริตนั้นตนเห็นด้วย

          แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดในร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว กลับพบว่าน่าเป็นห่วง เพราะหลักการและเหตุผลของกฎหมายนี้เขียนไว้ดีมาก คือให้มีการกำหนดมาตรฐานราคากลาง เพื่อให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งนำไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ เน้นเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะชนให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม แต่ในรายละเอียดของกฎหมายกลับมีการเปิดช่องเพื่อเอื้อประโยชน์ ซึ่งจะมีปัญหาในการปฏิบัติในอนาคต 

          ทั้งนี้เช่นมาตรา 7 ที่ระบุไว้ว่าพ.ร.บ.นี้ ไม่ให้บังคับแก่ (1) การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง (2) การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์ และการบริการทางทหารโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) หรือโดยการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศ ที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น (3) การจัดซื้อจัดจ้างเพื่อการวิจัยและพัฒนา หรือการจ้างที่ปรึกษาที่ไม่สามารถดำเนินการตามพ.ร.บ.นี้ได้

          นายราเมศ  กล่าวว่า ถามว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ หรือเปิดช่องให้มีการทุจริตหรือไม่อย่างไร ที่ระบุไม่ให้ใช้พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับกับเรื่องดังกล่าว เช่น หากรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งมีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีโครงการหนึ่งใช้งบประมาณหลายพันล้านหรือกรณีการจัดซื้ออาวุธ ทั้งรถถังและเรือดำน้ำของกองทัพหรือกระทรวงกลาโหม ก็จะถูกปกปิดเป็นความลับทั้งหมดหรืออย่างไร ทั้งที่ใช้งบประมาณสูงนับหมื่นล้าน ยิ่งเป็นรัฐบาลทหารก็ต้องสามารถตรวจสอบได้เช่นเดียวกันที่สำคัญตาม (3) ที่เปิดช่องทางใหม่ให้การจ้างที่ปรึกษาโดยปิดเป็นความลับหรือไม่ต้องใช้กฎหมายนี้บังคับ ก็เคยเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว ทั้งยุครัฐบาลนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แต่ละโครงการจ้างที่ปรึกษา ยกตัวอย่าง แค่กระทรวงมหาดไทยมีการใช้งบจ้างที่ปรึกษาตั้งแต่ปี 2544 -2556 รวมแล้วมูลค่า 4.5 พันล้านบาท ซึ่งทุกกระทรวงต้องมีการจ้างที่ปรึกษาในโครงการต่าง ๆ หากรวมทุกกระทรวงแล้วจะมียอดเงินสูงนับหมื่นล้านบาท  

          นายราเมศ กล่าวว่า ที่สำคัญในมาตรา 19 ของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว  กลับมีการระบุให้อำนาจตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ขึ้น 1 ชุด ประกอบด้วย รมว.คลังหรือรมช.คลัง หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการมี ปลัดสำนักนายกฯ , ปลัดกระทรวงคลัง , ปลัดกระทรวงไอซีที ,  เลขาธิการกรรมการกฤษฎีกา , ผอ.สำนักงบประมาณ , อัยการสูงสุด , อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น , ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ , ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

          นอกจากนี้ยังรวมถึงกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 7 คนจากสภาวิศวกร สภาสถาปนิก สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อวินิจฉัยว่า จะงดเว้นการบังคับใช้กฎหมายนี้กับกรณีใดได้อีกบ้าง โดยคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจในการออกมติ ห้ามใช้กฎหมายนี้เข้าตรวจสอบ ซึ่งไม่เคยพบว่ามีประเทศไหนในโลกจะใช้วิธีการนี้มาก่อน เพราะให้อำนาจคณะบุคคลพิจารณาออกมติ งดเว้นการบังคับใช้กฎหมาย โดยดึงหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลมาร่วมเป็นตัวแทนในกรรมการดังกล่าว 

          นายราเมศ กล่าวว่า  ขอถามว่า เมื่อเกิดปัญหาก็จะมีการกล่าวอ้างว่ามีองค์กรตรวจสอบอยู่ในกรรมการดังกล่าวอยู่แล้ว ดังนั้นโครงสร้างของกรรมการชุดนี้ จึงเป็นการทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุลตามหลักธรรมาภิบาล จึงขอเรียกร้องให้สนช.กล้าที่จะแปรญัตติกฎหมายนี้ เพื่อปรับปรุง แก้ไข ปิดช่องว่างของกฎหมายนี้ให้รัดกุม ไม่น้อยไปกว่าระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535  และขอให้กรรมการวิสามัญที่ศึกษากฎหมายนี้ปิดช่องการทุจริต เอื้อประโยชน์ ให้สมกับการปฏิรูป