ข่าว

'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สกัดร่วมสัมมนาต้านล้มคณะสงฆ์ที่พุทธมณฑล พระ-ทหาร ฮือชุลมุนถึงขั้นล็อกคอ

 
                      15 ก.พ. 59  จากกรณีพระเมธีธรรมาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นัดหมายพระสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 แห่งทั่วประเทศ ชุมนุมที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม จัดสัมมนา “สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย” ล่าสุดการนัดหมายครั้งนี้ได้เกิดเหตุปะทะชุลมุนระหว่างทหารที่นำกำลังไปรักษาความสงบเรียบร้อยและกลุ่มพระสงฆ์ที่ไปร่วมชุมนุมดังกล่าว
 
                      เมื่อเวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ทหาร กองพันทหารช่างที่ 9 กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พุทธมณฑล จำนวนกว่า 50 นาย ได้เข้าตรึงกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณรอบพุทธมณฑล พร้อมทั้งมีคำสั่งปิดประตูทางเข้าด้านถนนพุทธมณฑล สาย 4 ไม่ให้รถยนต์ทุกชนิดเข้าไปด้านในพุทธมณฑล ต่อมาช่วงสายวันเดียวกัน กลุ่มคณะสงฆ์และฆราวาสได้ทยอยเข้ามาชุมนุมด้านหน้าทางเข้า โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าชี้แจงทำความเข้าใจเพื่อร้องขอไม่ให้เข้าร่วมชุมนุม เนื่องจากขัดคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นอกจากนี้ทหารได้นำลวดหนามขึงกั้นบริเวณปากทางเข้าไม่ให้รถเข้าไปได้ คณะสงฆ์จึงเข้าเจรจาและให้นำลวดหนามออกปล่อยให้รถเข้าไป แต่ไม่เป็นผล คณะสงฆ์จึงช่วยกันรื้อรั้วลวดหนามแล้วนำรถฝ่าเข้าไป
ม็อบพระปะทะทหารถึงล็อกคอ
 
                      ต่อมาเวลา 13.00 น.เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างกำลังทหาร พล.ร.9 ที่มาปิดกั้นทางเข้าพุทธมณฑล เพื่อไม่ให้รถยนต์ รถบัสของพระสงฆ์ และประชาชนที่มาร่วมสัมมนาเข้าไป ทำให้พระสงฆ์นับร้อยรูปที่ร่วมเดินทางไม่พอใจและพยายามนำรถยนต์เข้าไปให้ได้ ด้านทหารได้ปรับแผนใช้รถฮัมวีปิดกั้นไม่ให้รถบัสขนาดใหญ่เข้าไปได้ ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นอีกรอบถึงขั้นชกต่อยกัน โดยมีพระประสงค์ ปัญญาวุฒโธ เจ้าสำนักสงฆ์เขาพลุคำ ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เข้าต่อรองให้ทหารนำรถยนต์ถอยออกจากการขวางเส้นทาง แต่ทหารไม่ยอมดำเนินการตามเจรจา พระประสงค์จึงประกาศให้กลุ่มพระสงฆ์ช่วยกันยกรถฮัมวีจนเกิดเหตุชุลมุน และมีพระบางรูปล็อกคอทหาร โดยหลังเหตุการณ์ยุติลงเจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่าทหารพลขับถูกทำร้ายร่างกายนำตัวรักษาที่โรงพยาบาล ขณะเดียวกันกลุ่มพระสงฆ์ยอมเดินลงจากรถบัสเข้าไปลานหน้าพระพุทธมณฑล
 
                      พระประสงค์ ปัญญาวุฑโฒ กล่าวว่า คณะพระสงฆ์มาทำกิจกรรมของสงฆ์ ซึ่งพระไม่ได้มาเพื่อมีปัญหา แต่ทหารกลับปิดกั้นไม่ให้รถของเครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 เข้าไป ทำให้รถติดเต็มไปหมด ตามหลักแล้วทหารต้องมาอำนวยความสะดวกไม่ใช่มาปิดกั้นไม่ให้รถเข้า ปัญหามันก็เลยเกิด เมื่อทหารมากั้น อาตมาก็เลยนิมนต์พระมาช่วยยกรถหลบๆ ไปเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกแค่นั้นเอง
 
                      “พุทธมณฑลเป็นเขตของสงฆ์ ทหารไม่ควรที่จะมายุ่งเกี่ยว น่าจะปล่อยให้สงฆ์ทำงานไป เพราะคณะสงฆ์ไม่เคยแสดงบทบาทอะไร สงบนิ่งมาตลอด แต่ในวันนี้จะขอมารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังเพื่อจะมาบอกอะไรสักอย่างให้ทางส่วนราชการหรือเบื้องบน แม้แต่หัวหน้ารัฐบาลได้รับทราบว่า คณะสงฆ์ที่มารวมตัวกันนี้เพื่อต้องการเรียกร้องอะไร ที่ผ่านมาร้องอะไรไปก็เงียบ อย่างที่ได้ยื่นเสนอไปให้ตั้งพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยเสนอไป 1 ล้านชื่อก็เงียบ ในครั้งนี้เรามารวมพลังกัน ถ้าไม่ยอมพระสงฆ์ก็จะลุกฮือกันเต็มพุทธมณฑล” พระประสงค์ กล่าว
 
 
ยกรถจี๊ปอีกรอบขอใช้พื้นที่ยาว
 
                      ต่อมาเวลา 15.00 น.หลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างพระสงฆ์กับทหารแล้ว ได้มีการเจรจาระหว่างสองฝ่ายจนยุติ โดยทหารยอมให้รถของคณะผู้เดินทางเข้าไปด้านในได้ แต่ต่อมาทราบว่าทหารนำรถจี๊ป 2 คันปิดกั้นไม่ให้รถเข้าอีก ทางกลุ่มพระสงฆ์จึงนำกำลังสงฆ์มารวมตัวบริเวณทางเข้าประมาณกว่า 300 รูป แล้วช่วยกันยกรถจี๊ปทหาร 2 คันออกจากจุดขวางกั้น แต่ในครั้งนี้ทางทหารไม่ได้ลงมาปะทะแต่อย่างใด คงปล่อยให้พระสงฆ์ยกรถจี๊ปทหารได้ตามสบาย
 
                      จากนั้นตำรวจและทหารได้เข้าพบพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นแกนนำครั้งนี้ เพื่อขอทราบกิจกรรมและเวลาที่ต้องใช้ โดยพระเมธีธรรมาจารย์ได้ขอใช้พื้นที่ไปจนถึงวันมาฆบูชา และขอรวมตัวเพื่อแสดงให้รัฐบาลเห็นถึงพลังของสงฆ์ หลังจากที่รัฐบาลฟังแค่พระเพียงรูปเดียว คือพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย แต่ไม่เคยสนใจเสียงของพระรูปอื่น พร้อมกับขอใช้พื้นที่แห่งนี้ในการทำวัตรปฏิบัติของสงฆ์ต่อไปจนกว่าภารกิจสำเร็จ ขณะที่ทหารได้ยื่นคำขาดว่าให้เวลาถึงเพียงแค่ 18.00 น.เท่านั้น ถ้ายังไม่สลายตัวอาจจะต้องเข้าสลายการชุมนุมเอง
 
 
ลั่นไม่กลับจนกว่าภารกิจเสร็จ
 
                      ด้านพระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า พระเพียงรูปเดียวกับคนอีกหนึ่งคน สามารถทำให้พระสงฆ์ทั้งประเทศเดือดร้อน จึงเรียกร้องให้พระสงฆ์ร่วมกันช่วยเจรจาให้เกิดความเรียบร้อย เมื่อทหารปิดทางเข้าจึงต้องให้พระสงฆ์ช่วยกันล้อมรถทหารเพื่อขอให้รถเสบียงนำอาหารมาถวายพระสงฆ์ จึงยอมปล่อยให้รถเสบียงเข้า จากนั้นก็ทราบว่าทหารได้ปิดเส้นทางเข้าอีกครั้ง และมีการปะทะกัน และได้เชิญพระเจรจากับทหาร และตำรวจภาค 7 โดยให้เลิกชุมนุมเวลา 18.00 น.แต่ได้บอกว่าพระสงฆ์จากทั่วประเทศ และประชาชนที่มาร่วมปฏิบัติธรรมกันที่พุทธมณฑลแห่งนี้ยืนยันว่าวันนี้ไม่กลับจะเอากฎหมายอะไรมากระชากก็ไม่กลับ เพราะเดินหน้าเกิน 100% แล้ว
 
 
ชูตั้งสังฆราช-บรรจุพุทธในรธน.
 
                      แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เปิดเผยถึงสถานการณ์ชุมนุมของพระสงฆ์ทั่วประเทศ บริเวณพุทธมณฑล นำโดยพระเมธีธรรมาจารย์ พร้อมด้วยพระสงฆ์ กทม.และต่างจังหวัดประมาณ 950 รูป ฆราวาสประมาณ 200 คน พร้อมรถบัส 2 ชั้น 27 คัน รถตู้ 50 คัน เพื่อรวมตัวกัน โดยอ้างว่ามาเพื่อสวดมนต์ในโอกาสใกล้วันมาฆบูชา วันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ แต่การรวมกลุ่มดังกล่าวมีนัยแอบแฝงแสดงพลังสนับสนุนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชและให้รัฐธรรมนูญระบุให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร 150 นายดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
 
                      “เราได้ประสานแกนนำคือพระเมธีธรรมาจารย์ ในเบื้องต้นคงมีเพียงการสวดมนต์ บริเวณหน้าองค์พระ สลับการหยุดพักผ่อนอิริยาบถตามปกติของสงฆ์ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าพระพุทธะอิสระ พร้อมด้วยพระฝ่ายคัดค้านจะเดินทางมาที่พุทธมณฑลเช่นกัน โดยอ้างว่าเพื่อร่วมสัมมนาแสดงความเห็น แต่เบื้องต้นกองพลทหารราบที่ 9 ได้ส่งกำลังพลเตรียมความพร้อมในการห้ามมิให้พระพุทธะอิสระและฝ่ายคัดค้านมาร่วมเพื่อป้องกันการเผชิญหน้าไว้แล้ว อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลว่าจะเคลื่อนย้ายคณะสงฆ์ไปนอกสถานที่อื่นใด” แหล่งข่าว ระบุ
 
                      แหล่งข่าวระบุอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์ชุมนุมของพระสงฆ์ แม้ว่าจะปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้รายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมสั่งทหารและตำรวจ ดูแลความเรียบร้อย เพราะเกรงว่าการจัดสัมมนาอาจจะมีนัยแอบแฝงเกี่ยวกับการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่
 
                      นายกฯ ได้สั่งการให้ทหาร ตำรวจ อดทนและอดกลั้น ไม่อยากให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายออกไป ทั้งนี้ภาพที่ปรากฏว่าระหว่างการทำงานของทหารและตำรวจที่ไปดูแลความสงบแต่มีพระสงฆ์ได้ฉุดกระชากเจ้าหน้าที่ โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบโต้อย่างใด ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าหากมีการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่พระสงฆ์ยังมีปัญหาแยกเป็นสองฝ่าย เกรงว่าจะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งภายในคณะสงฆ์เพิ่มเติมมากขึ้น” แหล่งข่าวระบุ
 
 
ระบุม็อบสงฆ์รับปากไม่ค้างคืน
 
                      เมื่อเวลา 17.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า ได้รับการประสานว่าเวลา 18.00 น.ตัวแทนพระสงฆ์ที่ชุมนุมอยู่ที่พุทธมณฑล จะเดินทางมายื่นหนังสือข้อเสนอกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ทำเนียบ ซึ่งตนรับแจ้งว่าพล.อ.ประวิตรจะมารับหนังสือด้วยตัวเอง
 
                      ด้านพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ว่า ล่าสุดทหาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และฝ่ายปกครองได้หารือกับพระเมธีธรรมาจารย์ ซึ่งได้รับปากว่าจะไม่มีการค้างคืนแต่ขอไปยื่นหนังสือต่อพล.อ.ประวิตร ทั้งนี้ฝ่ายมั่นคงสนับสนุนให้นำเสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ผ่านช่องทางที่กำหนดไว้ เห็นว่าการรวมตัวของพระสงฆ์ครั้งนี้อาจเป็นการแสดงออกถึงความขัดแย้งซึ่งไม่อยากให้เกิดภาพแบบนี้ เพราะประเทศชาติอยู่ในช่วงเดินหน้าและปฏิรูปประเทศ
 
                      ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ไปตั้งด่านบริเวณปากทางเข้าพุทธมณฑลก็เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย โดยอนุญาตให้เดินเท้าเข้าไปได้ แต่ไม่อนุญาตรถขนาดใหญ่จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดและกระทบกระทั่งกัน
 
 
จี้ 5 ข้อดันตั้งสังฆราชตามคาดหมาย
 
                      ต่อมาคณะสงฆ์ได้ส่งข้อเสนอว่า ที่ประชุมสงฆ์ทั่วประเทศมีสังฆามติให้นายกรัฐมนตรี ดังนี้ิ 1.ขอให้หน่วยงานราชการห้ามเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ 2.ให้ยึดธรรมเนียมปฏิบัติที่กระทำสืบกันมาคือการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อน 3.ขอให้นายกฯ ยึดถือตามมติมส.ที่มีการเสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช 4.รัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพไม่ข่มขู่คุกคามด้วยกฎหมาย 5.บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
 
 
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
'พระ-ทหาร'ฮือชุลมุน-ล็อกคอ!
 
 
ทหารตรึงธรรมกาย-มหาจุฬาฯ
 
                    ก่อนหน้านี้ เวลา 10.30 น. ที่หน้าวัดพระธรรมกาย ถนนบางขันธ์ หนองเสือ ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ได้มีกำลังทหารกว่า 10 นาย พร้อมรถโบวีเข้าตรึงกำลังเต็มหน้าวัด เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะมีกลุ่มคนจากศิษย์ของพระพุทธะอิสระ ที่มีกระแสข่าวว่าอาจยกกำลังเข้ากดดันวัดพระธรรมกาย กรณี มส.มีมติพระธัมมชโยไม่ปาราชิกตามพระลิขิต ส่วนอีกกระแสข่าวทางโซเชียลมีเดียระบุว่าพระวัดพระธรรมกายจะไปร่วมชุมนุมที่พุทธมณฑล ดังนั้นทหารจึงเข้ามาควบคุมสถานการณ์
 
                      พระแสนพล ยืนยันว่า ภายในวัดพระธรรมกายเหตุการณ์ยังปกติ พระยังทำกิจของสงฆ์เหมือนเช่นทุกวัน ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทุกฝ่ายที่เข้ามาช่วยกันดูแล ทั้งนี้เหตุการณ์ทั่วไปก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองประมาณ 50 นาย ดูแลความสงบเรียบร้อยโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวัดพระธรรมกายก็เพิ่มการตรวจสอบเข้มข้นขึ้นกับรถยนต์ที่เข้าวัดด้วย
 
                      มีรายงานด้วยว่า ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ถนนพหลโยธิน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ก็มีกำลังทหารเฝ้าสังเกตการณ์อีกด้วย
 
                      อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ได้แชร์ภาพเหตุการณ์ที่กลุ่มพระภิกษุเกิดปะทะชุลมุนกับเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมมีเสียงวิจารณ์ถึงพฤติกรรมว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ขณะเดียวกัน เพจชื่อดัง “ตื่นเถิดชาวพุทธ” ได้โพสต์ภาพและข้อความระบุว่าทหารห้ามรถขนอาหารถวายพระไม่ให้เข้าไปในพื้นที่เลยเกิดการทะเลาะกันจนถึงขั้นทำร้ายพระ พระเลยล็อกคอทหารเพื่อห้ามไม่ให้ทหารไปทำร้ายพระอีกรูปหนึ่ง นอกจากนี้ก็มีการโพสต์รูปและข้อความในโลกออนไลน์ โดยระบุว่าวัดพระธรรมกายถูกทหารล้อมไว้ รวมทั้งเจรจาไม่ให้ไปร่วมประชุมที่พุทธมณฑลด้วย
 
 
ยื่นสอบสมเด็จช่วงละเว้นหน้าที่
 
                      ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและประธานกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) สืบเนื่องจากมติ มส.ที่ระบุว่าประเด็นลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช กรณีอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายสิ้นสุดลงแล้ว
 
                      นายไพบูลย์ กล่าวว่า หากพิจารณาข้อเท็จจริงจะพบว่าพระลิขิตยังไม่สิ้นสุด เพราะการรับรองคดีที่อ้างถึงเป็นการฟ้องคดีของฆราวาส 2 ราย คือ นายมานพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา และนายสมพร เทพสิทธิธา ประธานยุวพุทธิกะ ไม่ใช่เรื่องของพระลิขิต ซึ่งไม่พบว่าเคยมีการดำเนินการกับพระธัมมชโยตามพระบัญชา แต่มีความพยายามเบี่ยงเบนให้เป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจะเห็นว่ากรณีดังกล่าวน่าจะมีปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าสมเด็จช่วงมีความสัมพันธ์และผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับพระธัมมชโย ในฐานะที่สมเด็จช่วงเคยเป็นกรรมการ มส.และทราบเรื่องดังกล่าวมาตลอดตั้งแต่ปี 2542 กระทั่งล่าสุดมีตำแหน่งเป็นประธาน มส.จึงเกิดข้อสงสัยว่าไม่ต้องการให้พระธัมมชโยสละสมณเพศ โดยเชื่อว่าพฤติการณ์อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องการยื่นให้ดีเอสไอรับสอบสวนเป็นคดีพิเศษ
 
                      ทั้งนี้นอกจากความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่แล้ว อาจต้องพิจารณาว่ามีพฤติการณ์ทุจริตเพิ่มเติมด้วยหรือไม่ จึงต้องการให้ดีเอสไอสอบสวนคดีให้เกิดความชัดเจน และเห็นว่าดีเอสไออยู่ระหว่างสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับพระธัมมชโย กรณีรับเงินบริจาคจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ซึ่งน่าจะมีความเชื่อมโยงกันด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข้อครหาเกี่ยวกับการรับเงินดังกล่าว ซึ่งช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ ยักยอกเงินนำไปบริจาคให้วัดพระธรรมกาย และมีบางส่วนอาจถูกนำไปบริจาคให้ที่อื่นด้วย
 
                      นายไพบูลย์ ยืนยันว่า ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนความผิดของ มส.เนื่องจากเคยมีคำพิพากษาศาลฎีการะบุว่าพระภิกษุและพระปกครองไม่อยู่ในนิยามของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ในส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) อยู่ในอำนาจการพิจารณาของ ป.ป.ช.
 
 
ไพบูลย์เชื่อม็อบสงฆ์ปกป้องมส.
 
                      ส่วนกรณีที่เครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ นัดรวมตัวที่พุทธมณฑล แสดงความไม่พอใจการเคลื่อนไหวของตนและพระพุทธะอิสระ ประเด็นอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโย นายไพบูลย์ กล่าวว่า น่าจะเป็นการรวมตัวกันเพื่อปกป้อง มส.ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมองว่าคณะสงฆ์และ มส.เป็นพระพุทธศาสนา แต่ในข้อเท็จจริงพระธรรมวินัยเป็นศาสนาและพุทธศาสนา ส่วนคณะสงฆ์และ มส.เป็นพุทธบริษัท มีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนาจึงสามารถถูกตรวจสอบได้ พระภิกษุผู้ปกครองและ มส.จึงไม่อยู่ในนิยามของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
                      านพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกดีเอสไอ ในฐานะผู้รับเรื่อง กล่าวว่า ดีเอสไอจะนำกรณีดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหนังสือจากมส.ที่จะชี้แจงรายละเอียดของมติที่ประชุมกรณีพระธัมมชโย เนื่องจากเป็นคดีที่เชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามยังไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจาก มส.แต่อย่างใด

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ